HoonSmart.com>>บลจ.กสิกรไทย (KAsset) เผยครึ่งปีแรกปี 68 เงินใหม่ไหลเข้าอุตสาหกรรมกองทุนรวม 1.5 แสนล้านบาท ปลื้มซื้อกองทุน KAsset ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท สูงเกินครึ่งของอุตสาหกรรม หลังแนะนำ “กองทุนตราสารหนี้-กองทุนผสม” ให้ลูกค้าหลบความผันผวน ส่วนครึ่งปีหลัง จับตาผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ฉุดกำไรบจ.-การเมืองในประเทศ- สถานการณ์ชายแดน ชูจัดพอร์ต Core & Satellite มองเป้า “หุ้นไทย” ปีนี้ 1,300 จุด แนะกลุ่มปันผล

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด (KAsset) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีเม็ดเงินใหม่เข้าลงทุนมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนเกินครึ่งหรือประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อกองทุนรวมของ KAsset เป็นผลจากการจับมือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แนะนำลูกค้าเข้าลงทุนกองทุนตราสารหนี้และกองทุนรวมผสม K-Wealth Plus ตั้งแต่ช่วงต้นปี จากมุมมองที่มีความกังวลภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ KAsset เติบโตได้ 7% ในขณะที่อุตสาหกรรมกองทุนโต 1%
“แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ภายใต้การบริหารของเรายังเติบโตได้เรื่อยๆ และยังคงเป้าหมาย AUM แตะระดับ 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 1.7 ล้านล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.3 ล้านล้านบาท”นายวิน กล่าว
สำหรับมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลัง ยังแนะนำการลงทุนผสม จัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolio พร้อมอัปเดตสถานการณ์การลงทุน ข้อมูลเชิงลึกให้ลูกค้าจากความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก J.P. Morgan Asset Management
“สินทรัพย์ที่แนะนำลงทุน ได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศ ส่วนกองทุนหุ้นแนะนำ K-GPIN (กองทุนเปิดเค พรีเมียมอินคัมหุ้นโลก) ลงทุนหุ้นทั่วโลก จุดเด่นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในภาวะตลาดไม่ดีจากกลยุทธ์ของกองทุน ซึ่งจะช่วยพาลูกค้าฝ่าด่านคลื่นลมเศรษฐกิจได้”นายวิน กล่าว
ทั้งนี้ กองทุน K-GPIN เป็น Feeder Fund มีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก JPMorgan ETFs (Ireland) ICAV – Global Equity Premium Income Active UCITS ETF มุ่งหาโอกาสสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอจากเงินปันผล และค่าพรีเมียม (Premium) จากการขายสัญญาสิทธิ หรือ ออปชัน (Options) ซึ่งกองทุนจะดีในช่วงตลาดมีความผันผวนมากๆ มีออปชันช่วยซัพพอร์ตในช่วงตลาดขาลงค่อนข้างดี ยิ่งตลาดผันผวนกองทุนก็จะมีพรีเมียมจ่ายให้แก่ลูกค้า ซึ่งกองทุนนี้จะตอบโจทย์ตลาดที่ยังมีความกังวลในครึ่งปีหลัง
นายวิน กล่าวอีกว่า สำหรับหุ้นไทยหลังจากภาษีสหรัฐฯ ประกาศออกมาที่ 19% ถือว่าไม่ได้แย่เมื่อเทียบอาเซียน แต่ก็ไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทยและกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดังนั้นคงต้องรอให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติกลับมามองหุ้นไทยมากขึ้น จึงจะหนุนให้หุ้นไทยไปต่อได้ จากปัจจุบันยังกังวลการเติบโตของเศรษฐกิจและภาษีสหรัฐฯ
“การย่อตัวของตลาดในรอบนี้ หากดัชนีลงไปไม่ต่ำกว่า Low เดิมแถว 1,050 จุด ดัชนีก็มีโอกาสฟื้นตัว”นายวิน กล่าว
พร้อมกันนี้แนะนำลูกค้าและนักลงทุนปรับพอร์ตหุ้นไทย โดยเน้นลงทุนหุ้นปันผลสูง มีความผันผวนน้อยกว่าตลาด ได้แก่ กองทุน K-VALUE (กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล) เน้นลงทุนหุ้นปันผลสูง 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์,ธนาคาร,สื่อสารและพลังงาน ซึ่งปันผลค่อนข้างดีและคาดหวังปันผล 6-7% ในปีหน้า ส่วนปีนี้อยู่ที่ 5% โดยภาพรวมผลตอบแทนของกองทุนตั้งแต่ต้นปีถึงเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ยังเป็นบวก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยติดลบ

ด้านนางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการสายการลงทุนตลาดทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นไทยปรับตัวลงในวันศุกร์ที่ผ่านมา รับรู้ข่าวสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าไทย 19% จึงมีแรงขาย sell on fact ที่ก่อนหน้าหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วจากการคาดการณ์ว่าไทยจะถูกเก็บภาษีใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของ GPD คาดว่าปีนี้จะเติบโตเพียง 1.5% ส่งผลให้มีการปรับลดกำไรของบจ.ลง
“ครึ่งปีหลังต้องจับตากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ว่าแต่ละกลุ่มจะโดนผลกระทบมากน้อยแค่ไหน จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะทยอยเห็นในงบไตรมาส 2 นี้ รวมทั้งปัจจัยสำคัญ คือ การเมืองในประเทศ และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ประมาณ 32 ล้านคน ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี จึงคาดหวังการการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบของภาครัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้”นางสาวภารดี กล่าว
สำหรับเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่เข้ามาซื้อหุ้นไทยในเดือนก.ค. มองว่าต่างชาติมีเงินลงทุนในหุ้นไทยน้อยมากและเห็นว่าราคาหุ้นลงไปลึกจนถึงระดับที่น่าสนใจ จึงเข้ามาซื้อหุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนอย่างชัดเจน จึงมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,300 จุด ส่วนดาวน์ไซด์ Low เดิมที่ระดับ 1,050 จุด
