DBS แนะเพิ่มน้ำหนักทอง—AI—หุ้นยุโรป-เอเชีย ไทยน่ากังวลชี้ภาษี 36% จีดีพี 1% SET 1,000 จุด

HoonSmart.com>>ธนาคารดีบีเอส แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุน “ทองคำ–หุ้นยุโรป–หุ้นเอเชีย” และธีม “โลกใหม่” อย่าง AI พร้อมปรับลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯแต่ยังใหญ่สุด รับมือโครงสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ ด้านเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแรง หากโดนภาษี 36% SET ยืน 1,000 จุดได้เหตุดาวไซด์จำกัด จีดีพีเหลือ 1% แนะหุ้นปันผล-กลุ่มโรงพยาบาล–ค้าปลีก–สื่อสาร–ตราสารหนี้ยังพอมีพื้นที่ให้ลงทุนต่อ

นายเวย์ ฟุก โหว หัวหน้าด้านการลงทุน ธนาคารดีบีเอส Chief Investment Office ของ DBS Bank วิเคราะห์ว่า
“Beautiful Tariff War” ของสหรัฐฯ เป็นการปรับยุทธศาสตร์ภาษีนำเข้าใหม่ โดยเฉพาะกับจีน เพื่อควบคุมอิทธิพลของจีน และจัดเก็บรายได้เพิ่มเติมเพื่อลดปัญหาความเสี่ยงล้มละลายของสหรัฐฯ

แม้จะมีการเรียกเก็บภาษีรวมในอัตราสูงถึง 20% แต่รายได้สุทธิที่ได้จากมาตรการนี้เพียง 185.2 พันล้านดอลลาร์ยังไม่พอแม้แต่จะจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้ภาครัฐกว่า 7.8 ล้านล้านดอลลาร์

เงินกำลังจะไหลกลับหุ้นเอเชีย
ส่วนลด 33% คาดกำไร 12.4%

DBS จึงปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วย“การจัดสรรสินทรัพย์ใหม่ทั่วโลก” ดังนี้

หนึ่ง-คงน้ำหนัก “Neutral” ในตลาดหุ้น คาดว่าผลตอบแทนจะแตกต่างกันทั้งระดับภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรม โดยให้ “ลดน้ำหนักการลงทุน”หุ้นสหรัฐ จากความกังวลด้านการคลังของสหรัฐซึ่งจะทำให้เกิดเม็ดเงินเปลี่ยนทิศทางการลงทุนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐและการลดน้ำหนักการถือครองเงินดอลลาร์ของธนาคารกลางทั่วโลก

“เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นยุโรป และตลาดเอเชีย(ไม่รวมญี่ปุ่น”

BDS คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นในปี 2568 จะเติบโตถึง 12.4% เมื่อเทียบกับ 6.6% ในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว จากการคาดว่าหุ้นยังคงมีมูลค่าที่น่าดึงดูดโดยมีส่วนลดอยู่ที่ 33% เมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว เป็นสัญญาณบวกว่าน่าจะดึงเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกได้มากขึ้น

รวมถึง แต่ละประเทศมีนโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีการลงทุนในอุตสาหกรรรมป้องกันประเทศเพิ่มสูงขึ้น อัตราเงินปันผลที่จูงใจ โดยตลาดหุ้นฮ่องกงและสิงคโปร์ กองทุนรวม มีการจ่ายเงินปันผลอยู่ระหว่าง 5-6%
นอกจากนี้เอเชียกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่และการพึ่งพากำลังซื้อในประเทศมากขึ้น
ในขณะที่หุ้นไทย ราคามีการปรับลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อัตราเงินปันผลของหุ้นไฮดิวิเด็น ก็อยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกัน แต่โอกาสอัพไซด์มีจำกัด เพราะปัจจัยภายในประเทศยังมีความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าไทยจะยังรักษาดุลบัญชีเดินสะพัดแบบเกินดุลได้ในระยะยาว

สำหรับ ตลาดหุ้นสหรัฐแม้จะให้”ลดน้ำหนักการลงทุนในภาพรวม แต่ให้”เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี แม้ผลตอบแทนปี 2568 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2553 แต่มองว่ายังสามารถไปต่อได้อีก ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมนี้ และจะกลายเป็น “ผู้นำตลาด”


Market Cap ของบริษัทเทคชั้นนำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ NVIDIA และ Microsoft วิวัฒนาการหุ้นเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 จากยุคอุตสาหกรรม ไป พลังงาน และถึงยุคเทคโนโลยี AI และ Cloud

มองว่ากลุ่มบริการเทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโตดีกว่ากลุ่มเทคที่เน้นสินค้า อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 กลุ่มยังคงเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด

“บริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI แต่ยังเติบโตได้อีกมากจากการที่มีช่องว่างในตลาดถึง 85% ที่บริษัทขนาดใหญ่จะมีการใช้เงินในด้านเทคโนโลยีจะเป็นโอกาส ของบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำในตลาดจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ เช่น NVIDIA,Microsoft,Apple,amazon,Google”

เทคโนโลยี AI ที่กำลังเติบโตทำให้ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างการส่งคำสั่งถามแชทจีพีที 1 ครั้งใช้ไฟมากกว่าการค้นหาใน google ถึง 10 เท่า รถยนต์ที่ไร้คนขับที่ใช้ AI ในการควบคุมกำลังจะมา รวมถึงหุ่นยนต์ จะทำให้ความต้องการไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น และมองว่าจะเป็นพลังงานแห่งโลกอนาคต เพราะมีความเสถียรสะอาดและต้นทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับพลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่ขาดความเสถียร

ปัจจุบัน ในเอเชีย มีจีน เป็นผู้นำในการใช้พลังงานนิวเคลียร์

ขณะที่การลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากครอบคลุมทุกห่วงโซ่ ตั้งแต่แหล่งแร่ยูเรเนียม ผู้ประกอบการเหมือง สาธารณูปโภค ไปจนถึงผู้ผลิตเทคโนโลยีใหม่—ทุกระดับมีโอกาสลงทุน โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพที่พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ Generation IV และ เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMRs) ซึ่งอาจเป็นตัวเร่งจุดเปลี่ยนให้พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็นกระแสหลักระดับโลก

เพิ่มน้ำหนักพันธบัตร 2-10 ปี

สอง-แนะนำให้ปรับลดน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลในตลาดพัฒนาแล้วสู่ระดับ”เท่ากับ”จากการที่ยังเผชิญความเสี่ยงทางการคลังและเงินเฟ้อ โดยใช้กลยุทธ์ “Duration Barbell” ให้ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐอายุ 20 ถึง 30 ปีหันมาถือครองพันธบัตรอายุ 5 ปี และตราสารคุณภาพระดับ A/BBB ที่มีอายุ 2-3 ปี และ 7-10 ปี รวมถึงพันธบัตร TIPS ของสหรัฐฯ ตราสารทุนกึ่งหนี้ ตราสารหนี้อายุสั้นที่มีความน่าเชื่อถือ

“ตราสารหนี้ยังให้ผลตอบแทนที่ดี แม้ว่านับจากนี้สหรัฐอเมริกาจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะยังไม่กระทบต่อผลตอบแทนของตราสารระยะสั้น ประเมินว่าสหรัฐยังคงเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอยู่แต่จะไม่เหมือนเดิม”

เพิ่มน้ำหนักทองคำ เป้า 3,765 ดอลลาร์/ออนซ์

สาม- “เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในทองคำ” ซึ่ง DBS ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 3,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในไตรมาส 4 ปี 2568 (จากปัจจุบันอยู่ราวๆ 3,349 ดอลลาร์/ออนซ์) พร้อมแนะนำให้จับตาสินทรัพย์นอกตลาดที่มีศักยภาพสร้างรายได้ประจำ เช่น กลุ่ม Private Equity

ปัจจัยสนับสนุนมุมมองว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากธนาคารกลางทั่วโลกมีการซื้อทองคำเพิ่มเป็นทุนสำรองสูงขึ้นถึง 2 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นคนจากการลดความนิยมถือครองเงินดอลลาร์เป็นคนสำรองระหว่างประเทศเนื่องจากกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐจะมีการพิมพ์คิวอี ออกมาเพิ่มเพื่อจัดการหนี้สาธารณะที่มีอยู่

บาทแข็งต่อเนื่อง

คาดค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ และปี 2569 จะอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงหนุนของดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเกินดุล ประกอบกับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ จากนโยบายผันผวนของรัฐบาลทรัมป์

ด้านอัตราดอกเบี้ย จะปรับลดลงได้อีกจากเศรษฐกิจชะลอตัว ภาษีการค้าทำให้การส่งออกลดลง จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

ภาษี 36% จีดีพีเหลือ 1% SET 1,000 จุด

น.ส.จันทร์เพ็ญ ศิริธนารัตนกุล กรรมการบริหารอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินว่าหากสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ เรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 36% จะส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของจีดีพีไทยคาดจะโตเหลือ 1% จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.8% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะลดเป้าลงเหลือ 1,000–1,100 จุด จากเดิมที่ 1,300 จุด

ทั้งนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะถูกปรับลด 2–3 ครั้ง ภายในอีก 12 เดือนจากนี้ โดยอาจเห็นการลดเหลือ 1.50% ภายในสิ้นปี และลงต่ออีกในปีหน้า สู่ระดับ 1.00% หากเศรษฐกิจยังได้รับแรงกระแทกจากความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ

สำหรับ หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำ เศรษฐกิจซบเซา และความกดดันจากภาษีการค้า ค่าเงินบาทแข็ง ได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ (บริษัทที่มีภาระหนี้แบบลอยตัว),กลุ่มพลังงาน,กลุ่มค้าปลีก,กลุ่มโรงพยาบาล,กลุ่ม REITs และทรัพย์สินเพื่อเช่า