RATCH ปักธงปีนี้ EBITDA โต 5-10% เพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน ทุ่มงบลงทุน 15,000 ลบ.

HoonSmart.com>>”ราช กรุ๊ป” (RATCH) พร้อมรับมือความท้าทาย หาโอกาสทางธุรกิจใหม่จาก climate change ปี 68 ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA 5-10% ใช้งบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท เปิดกลยุทธ์ปรับพอร์ต เพิ่มมูลค่ากิจการ เน้น 2 แนวทาง 1.ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของสินทรัพย์ สร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น 2.ปรับพอร์ตเน้นลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งใน-ต่างประเทศ ผลักดันให้เติบโตอย่างมั่นคง การเงินแข็งแกร่ง DE 1 ต่อ 1 เท่า

นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป (RATCH) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจ มุ่งกระจายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงพลังงานรูปแบบใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน  เพื่อปรับทิศทางการดำเนินงานให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต ตั้งเป้าสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA ) เติบโตปีละ 5-10% จากปีที่ผ่านมาทำได้ 15,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%

บริษัทตั้งงบลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างจำนวน 5,000 ล้านบาท และโครงการใหม่ๆ จำนวน 10,000 ล้านบาท เช่น การซื้อกิจการ โดยให้ความสนใจในโครงการพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2593 ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้มีรายได้มั่นคงและสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง   ปัจจุบันโครงสร้างทางการเงินข็งแกร่ง สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(DE) เพียง 1 ต่อ 1 เท่า และยังมีวงเงินจากสถาบันการเงินอีก 50,000-70,000 ล้านบาท

“เรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ climate change และมีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ อาทิ การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ความผันผวนของต้นทุนและต้นทุนแฝงจากภาษีและราคาคาร์บอน ความต้องการพลังงานสีเขียวที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพ ด้วยราคาถูก จึงต้องนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ คาดลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ประมาณ 1-2% คิดเป็นต้นทุนประมาณ 70% ลดการปล่อยคาร์บอน พร้อมกระจายการลงทุนธุรกิจพลังงาน เพื่อลดความเสี่ยง “นายนิทัศน์กล่าว

RATCH มุ่งเป้าที่การปรับพอร์ตสินทรัพย์ด้วยการจัดกลุ่มและกำหนดกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์แต่ละกลุ่มให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยครอบคลุมตั้งแต่การนำ AI มาใช้ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)  ก่อนที่จะเครื่องจักรจะเสีย เพื่อไม่ต้องใช้เวลาในการซ่อมบำรุงนาน เพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การนำโรงไฟฟ้าเดิมมาปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ โครงการ Synchronous Condender ของโรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ในออสเตรเลีย  นำโครงสร้างพื้นฐานของโรงไฟฟ้ามาใช้สนับสนุนเสถียรภาพระบบไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ คาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการได้ประมาณเดือนก.ค. 2568 การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้ว รวมถึงสินทรัพย์อื่น เช่น ที่ดินในจ.ราชบุรี 2,000 ไร่ เป็นธุรกิจใหม่หรือโครงการใหม่ การเข้าลงทุนซื้อหุ้นจากพันธมิตรเดิมในโครงการที่ยังมีมูลค่าทางธุรกิจ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพสินทรัพย์ให้สอดรับกับเป้าหมายธุรกิจ และลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาและพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ได้แก่ พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก รวมทั้งระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทย่อยในออสเตรเลียได้พัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ โดยได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Kemerton ในออสเตรเลีย และมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์เดิม และยังเป็นการก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว

สำหรับเป้าหมายธุรกิจในปี 2568 เพิ่มกำลังการผลิตด้านพลังงานทดแทนกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณ 1,709.04 เมกะวัตต์ (MW) ปัจจุบันมีในมือแล้ว 12 โครงการ ประกอบด้วย โครงการที่ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน เบอรีล กำลังการผลิต 100 MW โครงการโซลาร์ฟาร์มมารูลัน กำลังการผลิต 152 MW โครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ กำลังการผลิต 800  MW โครงการในประเทศฟิลิปปินส์ ได้แก่ โครงการพลังงานลมใกล้ชายฝั่งซานมิเกล กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 245 MW  และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 232.75 MW รวมทั้งโครงการพลังงานลมในเวียดนาม ได้แก่ โครงการเบ็นแจ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 39.20 MW และโครงการพลังงานลมบนฝั่ง 2 โครงการกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมประมาณ 140.45 MW และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจำนวน 5 แห่ง รวม  153.97  MW  โดยยังคงเป้าหมายการลงทุนในประเทศไทย ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม

ส่วนโครงการที่กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2568  ได้แก่ โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 2 ขนาด 392.70 MW ทาง RATCH ลงทุน 51% โครงการนวนคร ส่วนขยาย ขนาด 12 MW ถือหุ้น 40% คาด COD ในไตรมาสที่ 2 โครงการ Song Giang HPP Vietnam ขนาด 5.5 MW ถือหุ้น 46.23% กำหนด  COD ไตรมาสที่ 3 และโครงการ NPSI Solar Farm Philippines ขนาด 71.05 MW ร่วมลงทุน 49% คาด COD ไตรมาสที่ 4

ปัจจุบัน บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน รวม 10,815 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งสิ้น 7,843 เมกะวัตต์ ( สัดส่วน 72.5%) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,972 เมกะวัตต์ ( 27.5%) นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งหมายที่จะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 30% ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และ 40% ในปี 2578

ทางด้านผลการดำเนินงานในปี 2567 ที่ผ่านมา RATCH มีกำไรสุทธิ 6,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%  รายได้รวมลดลง 17% เหลือจำนวน  42,203 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลประจำปี หุ้นละ 1.60 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,480 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56.80%ของกำไรสุทธิ จากนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40%ของกำไรสุทธิ