“ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์” ขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี อายุ 3 ปี เปิดขาย 22-27 พ.ย.นี้ผ่านสาขาธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นำเงินไปปรับปรุงประสิทธิภาพอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า และเตรียมความพร้อมประมูลโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ โชว์ศักยภาพแข็งแกร่ง ทริสให้เครดิต “BBB+”
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1 อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2564 โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้มีมูลค่าไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 1,000 ล้านบาท รวมหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายครั้งนี้ไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% โดยมี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2561 โดยผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อหุ้นกู้ได้ในวันที่ 22-27 พฤศจิกายน โดยสามารถจองซื้อได้ที่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
“วัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อปรับปรุงโรงไฟฟ้าในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น และเตรียมความพร้อมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 5 แห่ง ซึ่งคาดว่าภาครัฐจะเริ่มเปิดประมูลภายในสิ้นปีนี้หรือช่วงต้นปี 2562 โดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญและความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการ และเงินส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท” นายภัคพล กล่าว
ทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของบริษัทที่ระดับ “BBB+” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงที่บริษัทได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreements – PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตระดับ “AAA” จากทริสเรทติ้ง
“บริษัทเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้รับการจัดอันดับเครดิต BBB+/Stable เมื่อพิจารณาถึงสถานะของบริษัทโดยไม่รวมบริษัทแม่ บริษัทจะได้รับอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ซึ่งอยู่ที่ระดับ BBB+ ตามระเบียบวิธีการจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่มของทริสเรทติ้งตามหลักสากล” นายภัคพล กล่าว