BKI เป้ารวนปรับใหม่เหลือโต 7% จับบริการลงออนไลน์-ปั้นอู่เขียว

HoonsSmart.com- กรุงเทพประกันภัย ปรับเป้าเบี้ยรับรวมปี’67 โต 7% จากเดิม 8% ผลจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐขยับช้า เบี้ยข้าวนาปียังค้าง ปลื้มเคลมรถยนต์ผ่านไลน์พุ่ง 61% ขยายรับทุกภัย ขยับปั้นอู่สีเขียว

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย (BKI) เปิดเผยว่าบริษัทปรับเป้าเบี้ยรับรวมลดลงเหลือ 32,000 ล้านบาท เติบโต 7% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 8% ผลจากเบี้ยประกันภัยโครงการขนาดใหญ่ของรัฐขยับช้า และประกันภัยข้าวนาปียังไม่เข้า และเบี้ยรถยนต์เติบโตลดลงเหลือ 10% จาก 14%

“เบี้ยรถยนต์จะเพิ่มขึ้นถึง 10% ในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ยอดขายรถยนต์สันดาปทั้งระบบลดลงกว่า 20% แม้ยอดขายรถอีวีจะเพิ่มขึ้นแต่มีการขายเบี้ยที่ไม่ต่างจากรถสันดาปมากนัก”ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินด้วยการมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยอยู่ที่ 178.13% (ณ 30 ก.ย.67) และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ ต.ค. 67) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก

รวมทั้ง ยังเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลักให้แก่ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ หรือ BKIH ซึ่งประกอบธุรกิจผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งลงทุนในธุรกิจหลักด้านการประกันภัยและธุรกิจอื่นที่หลากหลายและมีศักยภาพ

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวม 17,344.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรับประกันภัย 15,917.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% จากรายได้จากการรับประกันภัยยานยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการลงทุน 1,427.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลรับและดอกเบี้ยรับ ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,277.9 ล้านบาท ลดลง 10.5% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.39 บาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ครั้งที่ 1 สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 11.25 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ผุดประกันตามไลฟ์สไตล์

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตลอดปี 2567 บริษัทฯ มุ่งออกแบบผลิตภัณฑ์ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้ได้มากที่สุดผ่น 3 เทรนด์ ได้แก่ เทรนด์ Pet Humanization สำหรับคนเลี้ยงสัตว์ โดยเพิ่มความคุ้มครองการเสียชีวิตและค่ารักษาพยาบาล สุนัขและแมว ที่อยู่ในรถยนต์ที่ทำประกันชั้น 1 ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าต่ออายุโดยไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่ม

ตามด้วยประกันรถยนต์ชั้น 1 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนอายุ 55-75 ปี ที่ชอบขับรถยนต์ด้วยตนเอง รวมถึงประกันสุขภาพ Telemedicine ที่รองรับบริการแพทย์ทางไกลให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

บริการออนไลน์ถูกใจคนรุ่นใหม่

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมายกระดับบริการให้สะดวก รวดเร็ว เหนือความคาดหวัง เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าและคู่ค้า

อาทิ ระบบ i-Claim บริการเคลมรถยนต์ออนไลน์ บริการ Self Service Notification และการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ด้วยการไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) เป็นต้น

ล่าสุด เปิดแจ้งเคลมรถยนต์ผ่าน LINE @bangkokinsurance ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2567 มีอัตราการแจ้งเคลมผ่าน LINE 25,000 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 61% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) คาดว่าสิ้นปีนี้จะถึง 30,000 ราย สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่ต้องการเลือกใช้บริการที่สะดวกและรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์

บริษัทฯ จึงได้ขยายการรับแจ้งเคลมรถน้ำท่วม ให้ลูกค้าสามารถ นำรถเข้าซ่อมอู่ได้ทันที และเพิ่มการแจ้งเคลม ประกันอัคคีภัย ประกันภัยไซเบอร์ และประกันภัยโดรน รวมถึงเปิดให้สามารถแจ้งขอเอกสารลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

พร้อมกันนั้น ยังให้ลูกค้าทำการส่งมอบใบแจ้งความเสียหายผ่านออนไลน์ โดยสามารถเลือกรับเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล ผ่าน LINE และ Email ได้ทันทีจากเจ้าหน้าที่สำรวจอุบัติเหตุ ณ จุดเกิดเหตุ และสามารถส่งต่อไฟล์เอกสารดังกล่าวให้อู่ซ่อมได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจองคิวซ่อมหรือจัดหาอะไหล่ไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าซ่อมจริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหาย

อีกทั้งยังส่งเสริมการลดใช้กระดาษเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567

วางฐานธุรกิจยั่งยืน

ในปี 2567 ได้พัฒนาต่อยอดสู่การเป็นปีแห่งการปฎิรูป หรือ Regenerative ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่า ให้แก่ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ของบริษัทฯ เพื่อร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน

บริษัทฯ ยังได้เปิดระบบติดตามสถานะประกันภัยส่วนตัวในด้านต่างๆ (Progress Tracking)  โดยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเเละเริ่มเปิดให้ลูกค้าใช้บริการด้านสินไหมทดแทนยานยนต์บางส่วน คาดว่าจะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะในขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ผ่านช่องทาง LINE ครอบคลุมทั้งงานด้านการรับประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย และงานสินไหมทดแทน เช่น ตรวจสอบสถานะผลการตรวจสภาพรถยนต์ ขั้นตอนการจัดส่งกรมธรรม์ประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย รวมถึงการตรวจสอบสถานะการเคลมสินไหมทดแทนว่าอยู่ในขั้นตอนใด

เช่น  การรับเอกสารการเคลม การตรวจสอบเอกสารการเคลม การประเมินราคา การจัดซ่อม การส่งมอบรถ การอนุมัติค่าสินไหมทดแทน และการโอนค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น

สำหรับตัวแทนและนายหน้าซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทฯ จะสามารถตรวจสอบสถานะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทาง Web Partner และเตรียมขยายช่องทางให้บริการลูกค้าและคู่ค้าผ่านช่องทาง Mobile Application อีกด้วย

ปั้นอู่สีเขียว 10%

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า อู่ซ่อมในสัญญาประมาณ 600 อู่ นับเป็นหนึ่งใน Supply Chain ที่สำคัญ อีกทั้งบริษัทฯยังมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรถยนต์สูงกว่า 44% เบี้ยรวม 13,000 ล้านบาท จากเบี้ยรับรวม 32,000 ล้านบาท โต 5.2% ในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา จึงมุ่งส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้จัดส่งทีมวิศวกรสำรวจภัยที่มีความเชี่ยวชาญเข้าสำรวจความเสี่ยงภัยของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่อู่ซ่อมให้มีการปรับปรุงเพื่อลดความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้น

พร้อมส่งเสริมให้มีการปรับปรุงมาตรฐานและลดการปฏิบัติงานที่อาจสร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนรอบข้าง เช่น การจัดการของเสียอย่างเหมาะสม การจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีเกิดการรั่วไหลของสารเคมี การมีระบบบำบัดน้ำเสีย การควบคุมมลพิษทางเสียงและมลพิษทางอากาศที่อาจเกิดจากพ่นสีหรือซ่อมเครื่องยนต์

ตลอดจนให้ความรู้ผ่านกิจกรรม “ความปลอดภัยเริ่มที่ตัวเรา” โดยจัดอบรมให้ความรู้แก่ลูกค้า คู่ค้า รวมถึงอู่ซ่อมในสัญญาให้มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัยในสถานประกอบการ รวมถึงการจัดการด้านมลพิษ

“อู่ที่เป็นกรีน หรืออู่สีเขียว จะได้งานเพิ่มขึ้น และเราจะมีการโปรโมทให้เขาผ่านการรับประกันภัยของเรา เราเพิ่งเริ่มทำกับอู่ขนาดใหญ่ก่อนในกรุงเทพและปริมณฑล ในปีแรกก็ตั้งใจอยากได้อํสีเขียว 10% “ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาการให้บริการของอู่ซ่อมในสัญญาด้วยการจัดส่งคะแนนผลสำรวจความพึงพอใจและข้อเสนอแนะจากลูกค้าแก่อู่ซ่อมในสัญญาเป็นประจำทุกเดือน พร้อมกำหนดเกณฑ์และมาตรการที่จะนำไปปรับปรุงงานซ่อมรถยนต์ร่วมกัน โดยหลังจากได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 มีผลตอบรับที่ดีและอู่ซ่อมสามารถเพิ่มคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

———————————————————————————————————————————————————–