HoonSmart.com>>”ชัย โสภณพนิช”ปรับพอรต์ลงทุนไตรมาส 4 รับมือปี’68 คาดดัชนีอยู่แถว 1,450-1,460 จุด เหตุกำไรบจ.ยังไม่ดี มีข่าวตกแต่งบัญชี หลอกผู้ลงทุน เศรษฐกิจโตแค่ 3% ผลตอบแทนพันธบัตรต่ำทำเงินไหลซื้อบอนด์ยาวต่างประเทศ
นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย ( BKI) กล่าวว่า ไตรมาส 4 นี้ มีการปรับพอร์ตการลงทุนในส่วนที่มีกำไร และเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในปีหน้า โดยปัจจุบันมีสินทรัพย์ลงทุนรวม 28,000 ล้านบาท อยู่ในหุ้นราว 27% กองรีท ราว 5% พันธบัตร 29% เงินฝากประจำ 28% หุ้นนอกตลาดฯ 4% เงินให้กู้ 4%
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทยปี 2568 จะเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1,450-1,460 จุด สาเหตุจากผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไม่ดีเท่าที่ควร และมีข่าวการตกแต่งบัญชีของบริษัทจดทะเบียน และการหลอกผู้ลงทุน
ด้านเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตเพียง 3% จากปัจจัยด้านความขัดแย้งระหว่างประเทศ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา จะทำให้สินค้าทะลักเข้ามาที่เอเชียรวมถึงไทย ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยและผู้ส่งออก รวมถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจยังมีสูงจากหนี้ครัวเรือนสูง แม้จะมีการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก
ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวยังอยู่ในระดับต่ำประมาณ 2.5% เทียบกับพันธบัตรสหรัฐอเมริกาอายุเดียวกันอยู่ประมาณ 4% มีส่วนต่างค่อนข้างมาก กอรปกับพันธบัตรระยะยาวของไทยอายุ 10-20 ปีไม่ค่อยมี ทำให้บริษัทประกันชีวิตที่ต้องลงทุนระยะยาวต้องไปหาซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลในต่างประเทศ โดยยอมรับความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับ ภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่ายังเติบโตได้ดีในปี 2568 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มอาหาร กลุ่มค้าปลีก ที่เกี่ยวข้องกับอุสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะภาคท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล ที่มีจำนวนผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มน้ำมัน ยังต้องระวัง เพราะราคาน้ำมันปีหน้า ยังคาดการณ์ทิศทางได้ยาก หากราคาน้ำมันปรับตัวลง จะทำให้ธุรกิจน้ำมันที่มีการสต๊อคน้ำมันไว้แล้วจะเกิดการขาดทุนต่อไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน
สำหรับ 9 เดือนแรกปี 2567 BKI มีกำไรจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 1,304.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% และเบี้ยรับรวมเพิ่มขึ้น 5.2% แต่ค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทำให้บริษัทมีกำไรลดลง โดยกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้วลดลง 15.9% อยู่ที่ 1,361.9 ล้านบาททำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 2,666.2 ล้านบาท ลดลง 3.4% และมีกำไรสุทธิ 2,290.7 ล้านบาท ลดลง 10.0% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.51 บาท