HoonSmart.com>>ยูโอบี เผยคนรุ่นใหม่วัย 18-25 ปี เทรดหุ้นบิ๊กเทคฯนอกผ่านแอพฯ 80% โอกาสทำกำไรมากกว่าหุ้นไทย ด้านบีซีจีแนะบจ.ไทยขยายธุรกิจต่างประเทศเพิ่มโอกาสเติบโตดึงเงินลงทุน แนะลงทุนกลุ่มท่องเที่ยว -บริการ- การแพทย์ รับไฮซีซั่นไตรมาส 4 ดีต่อเนื่อง
นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ฐานลูกค้าของธนาคารคนรุ่นใหม่วัย 18-25 ปี ซึ่งอยู่ในกลุ่มเจนเนอเรชั่น ซี หรือ Gen C มีมูลค่าการเทรดหุ้นต่างประเทศโดยตรงเพิ่มขึ้น 10% และมูลค่าการลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุนรวมเพื่อลงทุนต่างประเทศ (FIF) เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถ้านับจากจำนวนคนแล้วเพิ่มขึ้นกว่า 100% โดยคนกลุ่มนี้มีการลงทุนในหุ้นบิ๊กเทค หุ้นไฮเทค ที่ทำแมชชีนเลินนิ่ง ไอไอ เพราะมองว่าเป็นหุ้นอนาคตของโลก แม้ปัจจุบันหุ้นกลุ่มนี้จะมี P/E สูงแล้วอยู่ราวๆ 20-30% แต่โอกาสในการได้รับผลตอบแทนก็สูงเช่นเดียวกัน
“การที่คนวัยนี้ลงทุนในหุ้นบิ๊กเทคมากกว่าคนวัยอื่นๆ อาจเป็นเพราะอายุยังน้อย มีเวลาในการเผชิญกับความเสี่ยงได้นานกว่ากลุ่มเจนเนอเรชั่นอื่นๆ ตามด้วยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ และหุ้น ESG ซึ่งล้วนเป็นหุ้นที่เป็นเทรนด์ใหญ่และเทรนด์ใหม่ของโลก”นายยุทธชัย กล่าว
นายยุทธชัย กล่าวว่า คนวัยนี้จะมีการศึกษาหาข้อมูลเอง และเทรดหุ้นเอง โดย 80% ของคนวัยนี้มีการเทรดหุ้นผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น จึงเป็นเหตุผลที่ธนาคารมีการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น ให้สามารถซื้อ-ขายกองทุนรวมต่างประเทศได้ถึง 14 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โดยธนาคารแนะนำให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุน นอกเหนือจากลงทุนในประเทศไทย ที่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของแหล่งรายได้ขอบริษัทจดทะเบียนไทย ที่ส่วนใหญ่ 90% มีรายได้จากในประเทศ เมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีแหล่งรายได้มาจากทั่วโลก
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประเทศไทย กล่าวว่า ฐานลูกค้าของวีซ่ามีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพื่อไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 3 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนมีความง่ายมากขึ้น ทั้งเข้าถึงข้อมูลง่าย และซื้อ-ขายหุ้นก็ง่าย จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับปรุงระบบต่างๆ ให้ง่ายมากขึ้น เมื่อเทียบกับ 7-8 ปีที่ผ่านมา
นายจอห์น แวกเนอร์ (John Wagner) หุ้นส่วน บริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป ประเทศไทย (BCG) แนะนำว่า บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความน่าสนใจ จากนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว บริการ และการแพทย์ ที่จะได้รับอานิสงส์จากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากในไตรมาส 4 นี้ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งการมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ กลุ่มเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่มีมาตรฐานการให้บริการที่เป็นที่ยอมรับของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากเดิมที่มีเพียง 2-3 แห่งเท่านั้น กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีโอกาสที่จะทำการดำเนินงานเติบโตได้ดีต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา
“ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยมีการปรับขึ้นราวๆ 15% ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นที่กลับคืนมา และนักลงทุนก็คาดหวังค่อนข้างสูงว่าตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นและเติบโตได้ เป็นแรงงผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนไทยต้องปรับปรุงและพัฒนาความสามารถในการหารายได้ โดยส่วนหนึ่งที่จะทำให้รายได้เติบโตต่อไปได้คือการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น”นายจอห์น กล่าว