HoonSmart.com>> บล.บลูเบลล์ มองลงทุนไตรมาส 4/67 “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” คาดทำนิวไฮต่อเนื่องดัชนี S&P500 ลุ้นแตะ 6,000 จุด แรงหนุนดอกเบี้ยขาลง กำไรบจ.แกร่ง ฟาก “ตลาดหุ้นเอเชีย” ชู “อินเดีย เวียดนาม เกาหลีใต้” ดาวเด่น ส่วน “หุ้นจีน” แนะหาจังหวะปรับลดสัดส่วนในพอร์ต ด้าน “กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ – REITs” น่าสนใจเพิ่งเริ่มต้นดอกเบี้ยขาลง พร้อมคัด 8 กองทุนแนะนำ
บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ (BLUEBELL) เผยมุมมองการลงทุนไตรมาส 4/2567คาดตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นทำ New High ต่อในไตรมาส 4 นี้ มองเป้าหมาย S&P500 ที่ระดับ 6,000 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะขาลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และ พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงปี 2569 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯให้ติบโตต่อเนื่อง
สถิติย้อนหลัง 50 ปีที่ผ่านมา หาก FED ลดดอกเบี้ยและ เศรษฐกิจไม่ถดถอยจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +15% แต่ หากเกิดเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +11% ดังนั้นนั้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือไม่ ตลาดก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี
สำหรับการลงทุนอย่างน้อย 1 ปี โดยทาง BLUEBELL มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะไม่เกิด Recession โดยเราได้มีการเก็บข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นดัชนีชี้นำ (Leading ndicator) ต่างๆ ซึ่งบ่งบอกว่าว่ ตัวเลขเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน ยังไม่ได้อ่อนแอและยังไม่เข้าใกล้การเกิดภาวะ Recession
ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งแข็งแกร่งต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 4 และต่อเนื่องถึงปี 2568 โดย EPS (กำไรต่อหุ้น) ของตลาดมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น ซึ่งหากกำไรเติบโต ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นต่อ ส่วนด้าน Valuation ของ S&P500 แม้ P/E จะอยู่ในระดับที่สูงประมาณ 22 เท่า
“เรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯมีศักยภาพของการเติบโตที่สูงกว่าในอดีต ดังนั้น การ Trade ที่ระดับแพงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 1 ระดับ หรือในกรอบ P/E ที่ 21-23 เท่า เป็นระดับที่ค่อนข้างเหมาะสม”
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักปรับตัวขึ้นหลังจากรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากตลาดหุ้นหุ้นมักชอบความชัดเจนด้านการเมือง และ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลดีต่อกำไรของตลาดหุ้นในระยะถัดไป ซึ่งตอนนี้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯยังคาดเดาได้ยาก แนะนำรอ Follow Buy หลังการเลือกตั้งในกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์
ส่วนตลาดหุ้นเอเชีย มองว่าตลาดหุ้นอินเดีย เวียวีดนาม เกาหลีใต้ จะเป็นตลาดดาวเด่นของเอเชีย สำหรับการลงทุนในไตรมาส 4/2567 และในระยะยาว โดย Top Pick ทางฝั่งเอเชีย คือ ตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจกิแข็งแกร่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจกิจากภาครัฐฯสนับสนุน มีความเสี่ยงเฉพาะตัวในประเทศค่อนข้างน้อย มีนโยบายการเงินที่พร้อ มผ่อนคลายหลังจากนี้ และมีการเติบโตของกำไรตลาดหุ้นหุ้ (EPS) ที่แข็งแกร่ง โดย Bloomberg คาดว่าว่ ตลาดหุ้นอินเดีย (NIFTY) จะมี EPS Growth ในไตรมาส 4/67 ถึง28% ซึ่งมากที่สุดในรอบ 6 ไตรมาสหลังสุดและ สูงที่สุดในภูมิภาค
“เรามองว่าตลาดอินเดีย จะสามารถทำ New High ได้ต่อในไตรมาส 4/67 รองลงมา เราชอบตลาดหุ้นเวียวีดนาม และ เกาหลีใลีต้ ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม นอกจากปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจกิที่เติบติ โตดีแล้ว เรามองว่า ตลาดหุ้นจะได้ปัจจัยหนุนจากการประกาศยกเลิก Pre-funding ซึ่งเริ่มมีผลในเดือน พ.ย.นี้ โดยคาดว่า FTSE จะประกาศ Upgrade ตลาดหุ้น เวียดนามเข้าสู่ FTSE Emerging market ภายในเดือน ก.ย. ปีหน้า ซึ่งทาง JPMorgan คาดจะมีเงินทุนไหลเข้าข้ตลาดราว 564 ล้านเหรียญฯ ซึ่งสถิติที่น่าสนใจ คือเมื่อตลาดหุ้นในเอเชียถูกบรรจุเข้า Emerging market Index ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นประมาณ 20% ใน 1 ปีถัดไป ซึ่งทำให้ตลาดเวียดนามจะมี Upside อีกมากในอนาคต”
ด้านตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปัจจุบันมีสัดส่วนของหุ้นกลุ่ม AI ต้นน้ำเป็นสัดส่วนหลักของตลาดที่ยังมีแนวโน้มเติบโตของกำไรได้ดีตามเทรนด์ Tech & AI ของโลก โดยข้อมูลที่น่าสนใจ คือ หลัง Fed เริ่มลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอยในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้มักปรับขึ้นได้อย่างโดดเด่นด่ และ มีข้อมูลคาดการณ์จาก Bloomberg ว่า หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้นรายได้ของบริษัทในตลาดหุ้นเกาหลีใต้จะได้ประโยชน์มากที่สุด รองจากตลาดจีน เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีล้ำสมัยให้กับบริษัษัทชั้นนำของโลกทั้งในจีนและสหรัฐฯ โดยในปัจปัจุบันเราเห็นสัญญานการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯแล้วและเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีน ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้มีโอกาสได้รับ Sentiment เชิงบวกในไตรมาส 4 ต่อไป
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน โดยมองว่าแม้ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นได้ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงท้ายไตรมาส 3 แต่คาดว่าจะยังเป็นการปรับตัวขึ้นที่ไม่ยั่งยืน โดยเชื่อว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่รอบนี้จะเป็นการกระจุ้นเพื่อทำให้เศรษฐกิจจีนโตตามเป้าหมายที่ระดับ 5% ในปีนี้ปีเท่านั้น แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อนข้างฝังรากลึก การบริโภคที่ซบเซา เงินเฟ้อที่อ่อนแอ สะท้อนว่าเศรษฐกิจจะหดตัวมากกว่าขยายตัว ล้วนแต่จะสร้างความกดดันให้กับตลาดหุ้นจีนในช่วงไตรมาส 4 นี้
“รามองว่าในระยะสั้น 1-3 เดือนข้างหน้า ตัวเลขเศรษฐกิจกิจะยังยัไม่ได้ฟื้นตัวมากนักและ ตลาดหุ้นจีนจะยังคงเผชิญแรงเทขายในช่วช่วงที่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ เช่นเดิมแต่ในระยะยาว 6-12 เดือนข้างหน้ามีโอกาสที่ปัญหาภาคอสังสัหาฯ จะเริ่มบรรเทาลงจากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่จะะค่อยเริ่มส่งผล ดังนั้นคำแนะนำ คือใช้จังหวะนี้ที่ตลาดจีนปรับตัวขึ้นมาเพื่อลดสัสด่วนตลาดหุ้นจีนลงให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมไม่เกิน 20% ของพอร์ตและส่วนที่เหลือถือต่อไปอีก 6-12 เดือน เพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน”
ส่วนการลงทุนกองตราสารหนี้ต่างประเทศ จะยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐรัฯมีแมีนวโน้มปรับตัวเป็นขาลงชัดเจน จากผลการประชุมของ FED ในเดือน ก.ย. ที่มีการปรับลดดอกเบี้ย 0.50% มาที่ระดับ 4.75-5.00% และ คาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐรัฯ ในปี 2567 ที่ 4.4% และ ในปี 2568 ที่ 3.4% แปลว่า เส้นทางการลดดอกเบี้ยของ FED ยังยาวไกล โดย FED มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่ได้มีความเสี่ยงต่อต่ ภาวะ Recession แต่มีปัจจัยเสี่ยง คือ ตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ดังนั้นจึงต้องรีบลดดอกเบี้ยเพื่อยับยั้งการชะลอตัวลงของตลาดแรงงาน ซึ่งการลดดอกเบี้ยแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อผลตอบแทนของราคากองทุนตราสารหนี้จากการ Mark To Market และการที่ FED จะปรับลดดอกเบี้ยลงเรื่อรื่ย ๆ จนถึงถึปี 2569 ก็จก็ะทำให้กองทุนตราสารหนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
“ปัจจุบันเรามองว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจาก Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ที่เราใช้ในการติดตามเพื่อหาจังหวะเข้าลงทุนปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 4% อีกครั้ง (หลังจากก่อนหน้านี้ลงไปที่ 3.6%) ซึ่งมองว่าการลงทุน ณ ระดับ Bond Yield ที่ 4% เป็นจุดที่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ”
สำหรับผลตอบแทนคาดหวัง มองในช่วง 1 ปีข้างหน้า Bond Yield จะปรับตัวลงอย่างน้อย 1% สอดคล้องไปกับการลดดอกเบี้ยของ FED ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 1% ในปี 2568 ดังนั้นกองทุนตราสารหนี้โลกที่มี Duration ของพอร์ตประมาณ 3-5 ปีก็สามารถคาดหวังผลตอบแทนจาก Capital Gain 3-5% ได้ ในขณะที่ Yield ของพอร์ตกองทุนตราสารหนี้โลกส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับ 4-6% ต่อปี ทำให้ผลตอบแทนคาดหวังโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 6-8% ต่อปี (หลังหักค่าธรรมเนียกองทุน ) จึงมองว่า การลงทุนกองทุนตราสารหนี้โลกในไตรมาส 4 แม้จะมีแมีนวโน้มที่ดี แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นเด่นชัดเหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้นจึงควรมีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 1 ปี เพื่อคาดหวังผลตอบแทนตามที่เรามองไว้
สินทรัพย์ทางเลือก มองทองคำและกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีต่อเนื่องในไตรมาส 4 ส่วนราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวน โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำระดับ All-Time High ที่ระดับ 2,665 ในช่วงท้ายของไตรมาส 3 จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่มีความรุนแรงขึ้นและการที่ FED ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลง 0.50% และ Dot plot ของ FED ที่บ่งชี้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องถึงปี 2569 ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหนุนราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลในอดีต ตั้งแต่ปี 1980 – ปัจจุบันบ่งบอกว่าหากเราอยู่ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงและเกิด Recession ทองคำ จะเป็นขาขึ้นในรอบใหญ่ปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 15.5% แต่หากไม่เกิด Recession ทองคำ จะปรับตัวลงเฉลี่ย 7% ในช่วง 1 ปีให้หลังจาก FED ลดดอกเบี้ย โดยเรามองว่า Recession จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การลงทุนในทองคำ ควรเหมาะสำหรับการกระจายลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตและหากต้องการเก็งกำไรแนะนำว่าควรรอเข้าซื้อในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลงมา 4-5%
ส่วนน้ำมันมองว่าในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ WTI มีโอกาสปรับตัวขึ้นมายืนเหนืออยู่ในกรอบ 73-76 ดอลลาร์ แรงหนุนจากผลกระทบของสงครามตะวันออกกลางที่ยังมีการโจมดีเป็นระลอกๆ ต่อเนื่อง โดยเป้าหมายของอิสราเอลคือโจมตีโรงงานผลิตน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นรุนแรง อีกปัจจัยสนับสนุนคือการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่จะส่งผลให้เกิดความต้องการน้ำมันจากจีนสูงขึ้นและล่าสุดในที่ประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสลั มีมติให้ปรับลดกำลังการผลิตรวม 5.86 ล้าน Barrel / วันทำให้ราคาดว่า ในระยะสั้นราคาน้ำมันจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตามหากปัจจัยดังกล่าวเปลี่ยนไป จะทำให้ราคาน้ำปรับลดลงได้ แนะนำการลงทุนควรเป็น Trading และตั้งจุด Stop Loss เท่านั้น
ขณะที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ มองว่ากองทุน Property & REITs มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่ออย่างโดดเด่น ในไตรมาส 4 โดย REITs เป็นสินทรัพย์ที่มักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกและคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ในปีนี้และลดต่ออีก 1% ในปีหน้าจะส่งผลให้กลุ่มอสังสัหาฯ มีกำไรเพิ่มขึ้นและ เศรษฐกิจกิสหรัฐฯที่ยังสามารถขยายตัวได้แข็งแกร่ง ทำให้นักวิเวิคราะห์มีโอกาสปรับรัประมาณการณ์กำไรของกลุ่ม REITs เพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า นอกจากนี้อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ของ Global REITs สูงถึง 3.86% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น Sector อื่น ๆ ทำให้มีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าต่อเนื่องจากสภาวะที่นักลงทุนหันมาสนใจสินทรัพย์ที่จ่ายปันผลดีๆในช่วงดอกเบี้ยขาลง (Search For Yield)
สำหรับคำแนะนำการลงทุน พอร์ตการลงทุนหลัก (Core portfolio) เน้นลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ กองทุนหุ้นทั่วโลก ส่วนพอร์ตการลงทุนเสริม (Satellite portfolio) รอจับจังหวะลงทุนใน Theme ต่างๆตามคำแนะนำ Bluebell Tactical Call
กองทุนแนะนำประจำไตรมาส 4/2567 ได้แก่ กองทุน KKP ACT FIXED กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ , KKP GNP-H กองทุนหุ้นทั่วโลก , ES-USBLUECHIP กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ,KT-TECHNOLOGY-A กองทุนหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั่วโลก , ES-GINCOME กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก, ES-INDAI กองทุนหุ้นอินเดีย, PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนหุ้นเวียดนาม , KFGPROP-A กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก