บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล มองแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคยังแข็งแกร่ง พร้อมเพิ่มขนาดกองทุน CIMB-PRINCIPAL iPROP จาก 8 พันล้านบาท เป็น 1.5 หมื่นล้านบาท ลงทุน REITs และพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ในไทยและต่างประเทศที่มีพื้นฐานดี เป้าหมายผลตอบแทนการลงทุน 5 – 7% ต่อปี
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ทีมจัดการลงทุนประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโต 3.7% นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป ส่วนเศรษฐกิจจีนคาดว่าจะเติบโต 6.2 – 6.8% โดยภาพรวมยังเป็นทิศทางขยายตัว แม้ว่าตัวเลขและดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้ชะลอความร้อนแรงลง จากผลของการที่สหรัฐฯ เพิ่มความเข้มข้นการปฏิรูปการค้าระหว่างประเทศและสร้างปฏิกิริยาตอบโต้จากประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศจีน เช่น การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากร ก็อาจส่งผลทางลบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกที่เติบโตลดลงในระยะถัดไป
ขณะที่นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลกกำลังเดินหน้าสู่ระดับปกติ จากที่เคยผ่อนคลาย โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 – 2 ครั้งในปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 – 2.25% ขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ สำหรับประเทศไทย ทีมจัดการลงทุนคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจจะเติบโตกว่า 4% จากปัจจัยการส่งออก ท่องเที่ยวและการลงทุนจากภาครัฐ รวมถึงการบริโภคในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวตามรายได้ภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้น
นายต่อ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ ทีมจัดการลงทุนมีมุมมองต่อการลงทุนใน REITs และกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจและมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ โดยภาพรวมตลาดออฟฟิศให้เช่าเกรด A และ B ในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 1/2561 ปรับตัวดีขึ้น (ข้อมูลจากฝ่ายวิจัย CBRE) ทั้งในด้านอัตราพื้นที่ว่างเฉลี่ยลดลงอยู่ที่ 7.3% และค่าเช่าออฟฟิศทุกระดับที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าเช่าออฟฟิศให้เช่าเกรด A และเกรด B ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เพิ่มขึ้น 3.1% และ 4.1% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและคาดว่าในปี 2561 – 2565 จะมี Supply ใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 7.67 แสนตารางเมตร ส่วนภาพรวมตลาดค้าปลีกคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และตลาดโรงงานสำเร็จรูปรวมถึงคลังสินค้าที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว
ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในประเทศสิงคโปร์ คาดการณ์ในปี 2561–2565 (ข้อมูลจากฝ่ายวิจัย CBRE) ตลาดออฟฟิศให้เช่าจะได้รับปัจจัยบวกจาก Supply ใหม่ที่ลดลง ส่งผลดีต่อค่าเช่าออฟฟิศในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมตลาดโรงแรมในปีนี้ที่จะมี Supply ใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 753 ยูนิต หรือคิดเป็น 1.1% เท่านั้น จึงคาดว่าว่าตลาดออฟฟิศให้เช่าและโรงแรมในสิงคโปร์ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว รวมถึงตลาดค้าปลีกที่อัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/61
ขณะที่ REITs ในประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำและการคงมาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในปีนี้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีเป้าหมายเข้าซื้อ J-REIT เพิ่มขึ้น 90,000 ล้านเยน ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในออสเตรเลียคาดว่าจะได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาเฉลี่ยยาวนาน
“จากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต เราสามารถเลือกลงทุนใน REITs เป็นรายตัว ซึ่งยังคงมีหลักทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทน 5 – 7% ตามที่คาดหวังได้ โดยเน้น REITs ที่มีแนวโน้มเติบโตดีและงบดุลแข็งแกร่งเพื่อลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาพบว่า REITs ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งแบบ Freehold หรือ Leasehold ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในระยะยาว” นายต่อ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่สายพัฒนาธุรกิจ บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวต่อว่า ทีมบริหารจัดการแนะนำให้กระจายสัดส่วนการลงทุนใน REITs และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เช่น กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iPROP) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนหลักใน REITs และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยและสิงคโปร์ เพื่อเป้าหมายผลตอบแทนการลงทุนที่ 5 – 7% ต่อปี
ทั้งนี้ กองทุน CIMB-PRINCIPAL iPROP ได้รับอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 15,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย และยังได้รับการจัดอันดับมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาวสำหรับกองทุน CIMB-PRINCIPAL iPROP-R ชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ โดยกองทุนฯ ให้อัตราผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี (นับจาก 29 มิ.ย.2561) เฉลี่ยอยู่ที่ 0.51% (ดัชนีเปรียบเทียบ -0.99%) 0.43% (ดัชนีเปรียบเทียบ -3.40%) 7.93% (ดัชนีเปรียบเทียบ 4.93%) 8.62% (ดัชนีเปรียบเทียบ 2.41%) 7.85% (ดัชนีเปรียบเทียบ 2.06%) ต่อปีตามลำดับ และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.81% (ดัชนีเปรียบเทียบ 4.96%)
นอกจากนี้ กองทุน CIMB-PRINCIPAL iPROP-D ชนิดจ่ายเงินปันผล ยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนทุกไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 2/2552–ไตรมาส 3/2561 รวม 26 ครั้ง รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 5.035 บาทต่อหน่วย
นายต่อ กล่าวเพิ่มเติม มุมมองในอนาคตสำหรับการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REITs ยังคาดหวังว่าจะให้ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของ Income ในอัตราประมาณ 5-7% ต่อปี กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมในภาวะตลาดหุ้นผันผวน แนะนำให้ถือลงทุนระยะยาวไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี เชื่อว่ากองทุนนี้จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน