“ฟิทช์”คงเครดิต SCC ที่ ‘A(tha)’ สถานะการเงิน-ธุรกิจแข็งแกร่ง

HoonSmart.com>>บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ รวมถึงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของโครงการหุ้นกู้ระยะกลาง (Medium-Term Note Program) มูลค่ารวมไม่เกินสามแสนล้านบาทของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ  และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ ‘F1(tha)’

บริษัทฟิทช์ ยังประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของ SCC มูลค่า 3.0 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ ‘A(tha)’ หุ้นกู้ชุดดังกล่าวจะถูกออกภายใต้โครงการหุ้นกู้ระยะกลางของ SCC เงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะถูกนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและชำระคืนหนี้

การประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ระดับ‘A(tha)’ สะท้อนถึงความคาดหวังของฟิทช์ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ SCC จะลดลงต่ำกว่า 4.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของ SCC ฟิทช์เชื่อว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (หลังรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมและหักเงินปันผลจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) หรือ EBITDA net leverage ของ SCC จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 4.2 เท่าในปี 2568 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น จากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของ Long Son Petrochemicals (LSP) และการลดลงของค่าใช้จ่ายลงทุนหลังจากที่ LSP เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ SCC มีกระแสเงินสดสุทธิ (Free cashflow) เป็นบวกตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ถึงแม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงกลางวัฏจักรในปี 2568

อัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับที่สูง และลดลงช้า – คาดว่า EBITDA net leverage ของ SCC จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงประมาณ 6 เท่าในปี 2567 (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567: 7.2 เท่า) ซึ่งเป็นระดับสูงกว่าระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิตที่ 4.5 เท่า เนื่องจากการฟื้นตัวของกำไรช้ากว่าที่ฟิทช์คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่า EBITDA net leverage จะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 4.5 เท่าในปี 2568 โดยได้รับการสนับสนุนจากกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ LSP ในประเทศเวียดนาม การฟื้นตัวเล็กน้อยของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พอลิเอทิลีนกับวัตถุดิบ และกระแสเงินสดสุทธิที่เป็นบวกจากการลดลงของค่าใช้จ่ายลงทุน

อย่างไรก็ตามการล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญในการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์และการเพิ่มระดับการใช้กำลังการผลิตของ LSP หรืออัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่อ่อนแอกว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้อาจทำให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้ของบริษัทฯล่าช้าออกไป ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบกับอันดับเครดิตในอนาคตของบริษัทฯ

ความพยายามในการลดอัตราส่วนหนี้สินช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
เชื่อว่าความพยายามของ SCC ในการลดอัตราส่วน
หนี้สิน พร้อมกับเงินสดที่มีอยู่มาก จะช่วยให้ SCC มีความยืดหยุ่นทางการเงินในการรับมือกับสภาวะที่ตกต่ำของวัฎจักรปิโตรเคมี SCC กำลังพิจารณาแผนอื่นๆ เพื่อช่วยลดอัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งรวมถึงการจัดสรรงบลงทุนโดยให้ความสำคัญกับโครงการที่มีอัตราผลตอบแทนสูง การลดต้นทุน และการลดเงินทุนหมุนเวียน

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอ่อนแอ
คาดว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จะยังคงอ่อนแอในปี 2567 แม้ว่าจะฟื้นตัวบ้างเล็กน้อยจากปี 2566 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกำลังการผลิตพอลิโพรพิลีน ประกอบกับในช่วงเวลานี้ความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะเมื่อฟิทช์คาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีน จะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนการเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา อย่างน้อยจนกระทั่งถึงปี 2569 ด้วยเหตุนี้ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน EBITDA  Margin ของเอสซีจี เคมิคอลส์จะอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 4% ในปี 2567 และ 9% ในปี 2568 เมื่อเทียบกับ EBITDA  Margin ของช่วงกลางวัฎจักรก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดที่ระดับประมาณ 14%

อัตราการใช้กำลังการผลิตของ LSP ที่เพิ่มขึ้น
คาดว่าโครงการ LSP จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567 และอัตราการใช้กำลังการผลิตของโครงการจะเพิ่มสู่ระดับประมาณ 70-80% ในปี 2568 เนื่องจากความได้เปรียบเชิงต้นทุนของตลาดภายในประเทศ เมื่อเทียบกับสินค้าพอลิเมอร์นำเข้า และความยืดหยุ่นของโครงการที่สามารถใช้ได้ทั้ง โพรเพน และแนฟทาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิต    

ในปัจจุบัน ประเทศเวียดนามมีการนำเข้าสินค้าพอลิเมอร์เกือบทั้งหมดสำหรับความต้องการใช้ในประเทศ   อย่างไรก็ตาม EBITDA จาก LSP น่าจะเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย เนื่องจากจะถูกลดทอนด้วยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนแออยู่

การลดค่าใช้จ่ายลงทุน
เชื่อว่า SCC จะยังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ ในช่วงที่สภาวะตลาดยังอ่อนแอและอัตราส่วนหนี้สินยังคงสูง  
ดังนั้นฟิทช์ประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ไม่รวมการลงทุนเพิ่มเติมใน Fajar ที่ประมาณ 3.0 หมื่นล้านบาทในปี 2567-2568 ซึ่งลดลงจาก 3.4 หมื่นล้านในปี 2566  โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะใช้ในการบำรุงรักษาและการปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมไปถึงการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ SCC

สถานะความเป็นผู้นำตลาด
SCC มีสถานะเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ได้แก่ กลุ่มสินค้าปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย (พอลิโอเลฟินส์และพีวีซี) และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในประเทศไทยและหลายประเทศในอาเซียน     สถานะผู้นำตลาดในแต่ละผลิตภัณฑ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง

SCC อยู่ตรงไหนในแต่ละตลาด

ฟิทช์ ระบุว่า SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, ‘A(tha)’/เครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา) ซึ่งอยู่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดย SCC มีส่วนแบ่งทางการตลาดของปูนซีเมนต์ในประเทศที่สูงกว่า มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และการกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากหลากหลายธุรกิจกว่า

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทางสถานะทางธุรกิจที่สูงกว่า ได้ถูกลดทอนจากอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ที่สูงกว่า SCCC ทำให้อันดับเครดิตของ SCC และ SCCC อยู่ในระดับเดียวกัน เครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ SCCC ต่ออันดับเครดิตของ SCCC ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology)

เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิต ‘AA(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, สถานะเครดิตโดยลำพัง ‘a+(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   SCC มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจอื่นที่หลากหลายกว่า ซึ่งทำให้ SCC มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมีที่น้อยกว่า   PTTGC มีสถานะเครดิตโดยลำพังที่สูงกว่าอันดับเครดิตของ SCC อยู่หนึ่งอันดับ เนื่องจาก PTTGC มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า   อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเครดิตเป็นลบของ PTTGC สะท้อนถึงความเสี่ยงที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะอยู่สูงเกินกว่าที่คาด

SCC มีอันดับเครดิตสูงกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP, อันดับเครดิต ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะเครดิตโดยลำพัง ‘a-(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์และเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่หนึ่งอันดับ ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของ SCC ที่ดีกว่า   SCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่า และมีการกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากหลากหลายธุรกิจกว่า โดยทั้งสองบริษัทมีฐานะทางการเงินที่ใกล้เคียงกัน