MAGURO รุกเปิดร้าน 11 สาขา ดันรายได้โต 30%-Q2 กำไร 13 ล้านบ.

HoonSmart.com>>“MAGURO” รุกหนักครึ่งปีหลังเปิดร้านเพิ่ม 11 สาขา ดันรายได้โต 30% ตามเป้า หลังเก็บรายได้ไตรมาส 2 โต  8% จากไตรมาสก่อน กำไรสุทธิ  13 ล้านบาท

นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO)  เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าขยายร้านอาหารเพิ่ม 11 ร้าน จากครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 2 ร้าน และมั่นใจว่าจะสามารถเปิดสาขาได้มากกว่าเป้ารวมที่ตั้งไว้เป็น 13 ร้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับพรีเมียม และพรีเมียม-แมส ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้สิ้นปีนี้ Maguro จะมีเครือข่ายทั้งหมด 38 สาขาภายใต้ 4 แบรนด์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยัง เตรียมเปิดตัวร้านอาหารคอนเซ็ปท์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ ในไตรมาส 4 นี้อีกด้วย

ล่าสุด ได้เจาะฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงย่านกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองบ้านหรู โดยเปิด 2 สาขาพร้อมกันทั้ง มากุโระ และ ฮิโตริ ชาบู เพื่อรองรับลูกค้าในย่านนี้ ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีโครงการบ้านเดี่ยวราคาสูงและค่อนข้างสูงจำนวนมาก

ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 31  สาขาจาก 4 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 16 สาขา 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 สาขา 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 8 สาขา และ HITORI คอนเซ็ปท์ใหม่ล่าสุด 4.) HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone เปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อ กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ MAGURO ยังมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 160,000 ราย ณ ครึ่งปีแรก ซึ่งคาดว่าภายในไตรมาส 4 นี้ จะสามารถแตะที่ 200,000 ราย ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทฯ มีการใช้ระบบ CRM (Customer Relation Management) เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด

“ครึ่งปีหลังนี้ จะมีการขยายสาขา เพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามา เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุก เซ็กเม้นท์ เพิ่มเซ็ตเมนูที่มีขนาดเล็กลงมา รวมถึงการใช้ระบบ CRM วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการ เมื่อรวมกับการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายรายการพิเศษ และต้นทุนแซลมอนในไตรมาสที่ 3 กลับสู่ภาวะปกติ จะช่วยผลักดันรายได้ครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่องและทำให้รายได้ทั้งปี 2567 เติบโตตามที่คาดไว้ที่ประมาณ 30% จากปี 2566”นายเอกฤกษ์ กล่าว

นายเอกฤกษ์ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้รวมมากกว่ารายได้รวมใน 6 เดือนแรกของปีก่อนถึง 117 ล้านบาท

ขณะที่รายได้รวมในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อยู่ที่ 321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ที่ 297 ล้านบาท และเติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากสาขาที่เปิดใหม่ 2 สาขา

ด้านกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 33 ล้านบาท ขณะที่กำไรปกติในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อยู่ที่ 18 ล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 13 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิไตรมาสที่ 1 ปีนี้ที่ 20 ล้านบาท เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายรายการพิเศษครั้งเดียวในการดำเนินการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน  7 ล้านบาท และยังมีต้นทุนวัตถุดิบแซลมอนที่เพิ่มสูงขึ้นจากสภาพภูมิอากาศ  รวมถึงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และการปรับปรุงสาขาเดิมในช่วงที่ผ่านมา