หุ้นไทยยิ่งถอยห่างจากโลก หลังนักลงทุนย้ายเงินไปหาคู่แข่งในภูมิภาค

HoonSmart.com>>หลายปีที่ผ่านมา หุ้นไทยมีสถานะเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การปรับตัวขึ้นนั้นกำลังร่วงลงอย่างรวดเร็ว ไทยกำลังจะสูญเสียอันดับ 2 ในด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ที่ครองมาอย่างยาวนานเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg ประเทศไทยและสิงคโปร์ห่างกันอยู่ที่ประมาณ 14 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 125 พันล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว

การลดลงอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้นไทยเป็นผลมาจากทั้งการเมืองและกฎหมายที่กลับไปกลับมา การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวที่อ่อนแอเกินคาด และข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำผิดของบริษัทจดทะเบียน  ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการขายออก 14% ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET index) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการลดลงมากที่สุดในบรรดาดัชนีอ้างอิงหลักๆ ทั่วโลก

“ตลาดมีแนวโน้มที่จะยังติดอยู่ในกับดักมูลค่าจนกว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและผลกำไรของธุรกิจจะดีขึ้น” อลัน ริชาร์ดสัน ผู้จัดการกองทุนของ Samsung Asset Management Co. กล่าว

มูลค่ารวมของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 440 พันล้านดอลลาร์ ณ วันพฤหัสบดี ( 25 ก.ค.2567) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 426 พันล้านดอลลาร์ของสิงคโปร์และ 422 พันล้านดอลลาร์ของมาเลเซีย ส่วนตลาดหุ้นของอินโดนีเซีย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 749 พันล้านดอลลาร์ เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคมาโดยตลอดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2554

อันที่จริงก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ หลังไทยผ่อนคลายมาตรการจำกัดต่างๆ ในช่วงแพร่ระบาด ในที่สุดในช่วงปลายปี 2565 นักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของประเทศได้ แต่ข้อจำกัดด้านโควิดที่เข้มงวดของจีนและเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแอส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2562 กลับมีจำนวนน้อยลงและมีการใช้จ่ายน้อยลง

นักลงทุนต่างชาติหนีหุ้นไทย ฉุดให้ร่วงมากที่สุดในโลก

ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับการที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน จะถูกถอดออกจากตำแหน่งหรือไม่ และความล่าช้าด้านนโยบาย รวมถึงการแจกเงินมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ยังไม่ได้แจก ก็กำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดเช่นกัน

เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศความคิดริเริ่มใหม่ ๆ รวมถึงการปฏิรูปเพื่อป้องกันการละเมิดตลาดและยกระดับประสิทธิภาพ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าว

ผู้ค้าทั่วโลกก็ยังไม่มั่นใจ จนถึงขณะนี้นักลงทุนในต่างประเทศได้ขายหุ้นออกเป็นมูลค่าเกือบ 3.3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ตามข้อมูลของ Bloomberg ซึ่งเป็นไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับการลดลงในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 แต่ได้ลงทุนเพิ่ม 85 ล้านดอลลาร์ในมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการไหลเข้าเมื่อเทียบเป็นรายปี ในสิงคโปร์ ชาวต่างชาติลดการขายลงเหลือเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตามข้อมูลของ EPFR

“เงินบาทอ่อนค่าลง และวินัยทางการคลังก็หายไปจากแจกเงินของรัฐบาลชุดใหม่นี้” ซัต ดูห์รา ผู้จัดการกองทุนของ Janus Henderson Group Plc. กล่าว “มีโอกาสที่ดีกว่ามากในเอเชีย”

โดยทั่วไปแล้วหุ้นไทยจะมีการซื้อขาย แบบมี premium เมื่อเทียบกับหุ้นมาเลเซีย แต่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม Forward P/E ratio เฉลี่ย 12 เดือนของดัชนี SET ถูกกว่าดัชนี FTSE Bursa Malaysia KLCI เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสี่ปี ขณะนี้ SET ซื้อขายที่ประมาณ 13 เท่า เทียบกับคู่แข่งที่ 14.1 เท่า

มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของไทยที่คำนวณโดย Bloomberg จะรวมเฉพาะหลักทรัพย์หลักที่มีการซื้อขายคล่อง (actively traded) ในตลาดของไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการนับซ้ำ ซึ่งมักจะส่งผลให้มูลค่าที่ต่ำกว่าจากแหล่งอื่น ข้อมูลไม่รวม ETF และ ADR เนื่องจากไม่ได้เป็นตัวแทนบริษัทโดยตรง ในบางด้าน มูลค่าตลาดของสิงคโปร์แซงหน้าประเทศไทยแล้ว ตามข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่ผ่านตลาดทั้งสองแห่ง

มูลค่าตลาดสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากหุ้นธนาคาร ซึ่งทำระดับสูงสุดใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้จากการคาดการณ์เงินปันผลและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ดัชนี Straits Times เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในปีนี้

การผลักดัน AI ของมาเลเซียดึงดูดนักลงทุนในหุ้นหลังจากไหลออกมานานหลายปี

ขณะเดียวกัน นักลงทุนได้ลงทุนเพิ่มในตลาดของมาเลเซีย เนื่องจากความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากมาเลเซียวางเป้าหมายเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ AI และศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานชิป ดัชนี KLCI เพิ่มขึ้น 11% ในปีนี้ ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค

มองไปข้างหน้า แนวโน้มของประเทศไทยอาจดูคลุมเครือเล็กน้อย เนื่องจากพัฒนาทางการเมืองอาจต้องใช้เวลากว่าจะชัดเจน “ความแน่นอนทางการเมืองและนโยบายเป็นตัวเร่งให้เกิดการปรับปรุงระดับมหภาค ซึ่งอาจดึงนักลงทุนต่างชาติกลับมา” เคนเนธ แทง ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสของ Nikko Asset Management กล่าว