SCGD คาดQ3 สดใสใช้จ่ายรัฐหนุน ครึ่งปีแรกรายได้หด-แต่กำไรเพิ่ม

HoonSmart.com>>เอสซีจี เดคคอร์ คาดตลาดกระเบื้อง-สุขภัณฑ์ไตรมาส 3 สดใสจากการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ภาคครัวเรือนน่าห่วงหนี้สูง คาด 3 โครงการลงทุนเสร็จภายในปีนี้ เดินหน้าซื้อกิจการหวังขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ ธุรกิจวัสดุปิดผิว ด้านรายได้หดตัว แต่กำไรเพิ่มขึ้น จากการลดต้นทุน-ต้นทุนพลังงานลดลง

บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) คาดตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีแนวโน้มสดใสขึ้นจากสถานการณ์ในประเทศไทย ที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายของภาครัฐแต่ยังมีความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง

ส่วนในต่างประเทศ มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยประเทศเวียดนามมีความคืบหน้าของกฎหมายที่ดินที่จะมีผลบังคับใช้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 1 ส.ค.2567 และประธานาธิบดีของประเทศอินโดนีเซียจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนต.ค.เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของตลาด ในส่วนของเศรษฐกิจประเทศฟิลิปปินส์ยังคงทรงตัว แต่ยังมีอัตราเงินเฟ้อสูง

สำหรับ การลงทุนในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 746 ล้านบาท ใช้ไปกับการขยายธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งจะมี 3 โครงการลงทุนที่จะเสร็จและสามารถเดินเครื่องได้ภายในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ของปี 2567 ประกอบด้วย โครงการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าเกรซพอร์ซเลน (Glazed Porcelain) ที่โรงงาน Dai Loc ทางภาคกลางของประเทศเวียดนาม โครงการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าเกรซพอร์ซเลน (Glazed Porcelain) ที่โรงงาน Tien Phong ทางภาคเหนือของเวียดนาม และโครงการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักร สำหรับผลิตสินค้ำเกรซพอร์ซเลน (Glazed Porcelain) ที่โรงงานหนองแค 2 (NK2)
ส่วนโครงการลงทุน ที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568 ประกอบด้วย โครงการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดต้นทุนพลังงาน 5.5 เมกะวัตต์ และโครงการลงทุนเพิ่มเติม โครงการติดตั้งระบบ Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมหนองแค (NKIE)

นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะใช้เงินเพื่อขยายธุรกิจต่อเนื่อง รวมถึงการควบรวมกิจการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ ธุรกิจวัสดุปิดผิวและตกแต่งหลากหลายประเภทในกลุ่ม Decor Surface ซึ่งเป็นแนวทางหลักที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตได้อย่างรวดเร็วตามแผน

รายได้หดตัว แต่กำไรเพิ่ม

สำหรับ ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้จากการขาย 6,566 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับรายได้ที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลง 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% และ 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% และ 10% เมื่อเทียบกับรายได้ที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้าน รายได้สำหรับครึ่งปีแรก ของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 13,350 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับรายได้จากการขายที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างของช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มี EBITDAอยู่ที่ 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัท อยู่ที่ 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างและรายการ Non-Recurring อื่นๆ ของช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับ รายได้ที่ลดลงเป็นผลมาจากกำลังซื้อภายในประเทศอ่อนตัวจากภาวะเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งงานโครงการและโครงการราชการชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายลดลง แต่กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการลดต้นทุน และต้นทุนพลังงานที่ลดลง

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 165 ล้านบาท