บลจ.ไทยพาณิชย์ออกทริกเกอร์ฟันด์ลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ

HoonSmart.com>> บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดขายกองทุน “SCBGTTG4” ทริกเกอร์ฟันด์ ธีม US Tech Focused มองสัญญาณฟื้นตัว ราคาหุ้นในกลุ่ม P/E ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โอกาสสร้างผลตอบแทนจากเป้าหมายทริกเกอร์ 6% ใน 6 เดือน เสนอขาย 29 มี.ค. – 4 เม.ย. นี้

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาคบริการ และภาคแรงงานที่มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นโลก ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมาสินทรัพย์ประเภทหุ้น โดยเฉพาะ Growth Stock หรือ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหุ้นคุณภาพสูง (High-quality stocks) จะ outperform กว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield) เริ่มปรับลด (ดอกเบี้ยเข้าสู่จุดสูงสุด)

บริษัทฯ จึงมีความสนใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ด้วยปัจจัยหนุนจากการที่เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภค และมองว่ามีโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะกลับมามีผลการดำเนินงานและกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงมีแผนเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ เพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะสั้นกับหุ้นธีม US Tech Focused ผ่านกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Thematic Trigger 4 หรือ SCBGTTG4 โดยตั้งเป้าหมายการปรับตัวของมูลค่าหน่วยลงทุน (Trigger) อยู่ที่ 6% ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการ เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 4 เมษายน 2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

กองทุน SCBGTTG4 เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น US Tech, Semiconductors, Cybersecurity และ AI Boom โดยกองทุนมีเงื่อนไขการทริกเกอร์ที่แบ่งออกเป็น 2 ครั้งระหว่างทาง เพื่อช่วยลดความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ภายใต้กรอบระยะเวลา 6 เดือน คือ ครั้งที่ (1) กรณี ณ วันทำการใด ที่มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนมีการปรับตัวมากกว่า/เท่ากับ 10.30 บาทต่อหน่วย เทียบเท่า 3% (ของมูลค่าที่ตราไว้ 10 บาท หรือเท่ากับ 0.3 บาทต่อหน่วย) บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเพียงครั้งเดียวนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวม

ครั้งที่ (2) ในกรณีเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนโดยหาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.62 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในอัตราไม่ต่ำกว่า 10.60 บาทต่อหน่วย โดยมีกำหนดการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนภายใน 5 วันทำการ นับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และจะชำระเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับแต่วันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยบริษัทจัดการขอสงวนสิทธินำเงินไปลงทุนต่อยังกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการ

อย่างไรก็ตาม หากครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวมแล้ว ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจัดการจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการซื้อขายหน่วยลงทุนที่บริษัทจัดการกำหนด จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขการเลิกกองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้

นางนันท์มนัสกล่าวเพิ่มเติมว่า “หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกด้านแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทเทคฯ และการเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลการดำเนินงาน ซึ่งบริษัทฯ มองว่าหุ้นเทคฯ ที่คัดเลือกมาทั้ง 4 กลุ่ม ล้วนมีความสามารถด้านการแข่งขันทางตลาด โดยจะพบว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (US Tech) เป็นกลุ่มเดียวที่นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มการคาดกาณ์ผลการดำเนินงาน (Earnings reversions) เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น โดยราคาหุ้นในกลุ่มนี้ได้ปรับตัวลงแรงในช่วงปีที่ผ่านมา จากปัจจัยกดดันด้านความกังวลของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ปัจจุบันราคาหุ้นในกลุ่มมีอัตราส่วน P/E ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

อีกทั้ง การมาของ ChatGPT ได้ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในตลาด AI เพิ่มขึ้นอย่างมาก (AI Boom) จึงมีผลให้บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในตลาด เร่งปรับตัวออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดย IDC หรือ Internet Data Center ได้คาดการณ์รายได้ทั่วโลกของตลาด AI จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 19% ต่อปี และประเมินว่าอาจแตะระดับ 9 แสนล้าน USD ในปี 2026 และส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคฯ อื่นๆ เช่น Semiconductors และ Cybersecurity มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากการมาของ AI โดยหุ้นเทคฯ กลุ่ม Semiconductors ได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์สื่อสาร ในขณะที่หุ้นเทคฯ กลุ่ม Cybersecurity ได้รับปัจจัยบวกจากการที่ผู้บริหารองค์การล้วนตระหนักถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จึงมีการเพิ่มงบลงทุนในส่วนนี้ในอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 13% จึงเป็นช่วงที่จังหวะเหมาะสมต่อการเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้จุดสูงสุด เพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนได้”