HoonSmart.com>>สถาบันไทยส่งสัญญาณบวกหุ้นไทย “บลจ.ไทยพาณิชย์” เปิดขายทริกเกอร์ฟันด์ 6% ใน 6 เดือน มองจังหวะลงทุนหุ้นปรับฐานแรงช่วงสั้น คงเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ 1,760 จุด “บลจ.ทิสโก้”มองหุ้นถูก แบงก์แกร่ง ตลาดมีปัจจัยบวกรออยู่มาก หนุนดัชนีทะลุ 1,700 จุด เสิร์ฟกองทริกเกอร์ 5% ภายใน 5 เดือน “บลจ.กรุงไทย” เสนอทริกเกอร์ 5% ใน 6 เดือน เน้นธีมหุ้นเติบโตสูง เลือกตั้ง 17 พ.ค. หนุน ข่าวแบงก์ต่างประเทศล้มเริ่มสงบ หนุนหุ้นเมืองนอกบวก ไทยวิ่งตาม 1.4% ฝีมือสถาบันไทยซื้อเจ้าเดียว 2,163 ล้านบาท ลุ้นเฟดตรึงดอกเบี้ย ttb analytics คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 3.4%
นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากจากหลายปัจจัยลบ บริษัทฯ มองเป็นความผันผวนเพียงระยะสั้น และเป็นจังหวะลงทุนระยะสั้นในการทำกำไรกับหุ้นรายตัวที่มีศักยภาพ พื้นฐานแกร่ง และมีผลการดำเนินงานดี จึงเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ตั้งเป้าการปรับตัวของมูลค่าหน่วยลงทุน (Trigger) อยู่ที่ 6% ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนกอง เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21 – 27 มี.ค.2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
บริษัทยังคงเป้าหมายดัชนี SET ปลายปีที่ระดับ 1,760 จุด มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดที่แข็งแกร่ง เศรษฐกิจมีการเติบโต ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศของจีน และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลายภาคส่วน ทั้งการท่องเที่ยว, ขนส่ง, สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น
ปัจจุบันราคาหุ้นไทย (SET Index) อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดย P/E 12 เดือนซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี การเลือกตั้งไทยยังเป็น Event สำคัญที่คาดว่าจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้น หากเทียบสถิติในอดีต มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เฉลี่ยประมาณ 6% ทั้งก่อนและหลังในช่วงของการเลือกตั้ง 1 เดือน ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จึงมองว่ามีโอกาสทำกำไรจากตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นได้
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวรออยู่มาก ทั้งราคาหุ้นที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมี P/E อยู่ที่ประมาณ 14.65 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่อยู่ในระดับ 18.15 เท่า นอกจากนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจ มาจากภาคการบริโภค การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และการเลือกตั้งมีความชัดเจน จะเป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้หุ้นไทยปรับตัวเกิน 1,700 จุดได้ โดยหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีก และธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ บลจ.ทิสโก้จึงจับจังหวะเสนอขายกองทุนทริกเกอร์หุ้นไทย ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.50 บาท/หน่วยภายในระยะเวลา 5 เดือน เปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 20 – 22 มีนาคม 2566 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ จากข้อมูลในอดีตที่ชี้ว่า หุ้นมักจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยก่อนและหลังการเลือกตั้ง 30 วันอยู่ที่ +0.92% และ +3.47% ตามลำดับ เป็นต้น จึงมองว่าหุ้นไทยนับเป็นอีกหนึ่งตลาดการลงทุนที่น่าสนใจ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้
บริษัทจึงได้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดกรุงไทย ทริกเกอร์ ฟันด์ 7 (KT-TRIG7) เพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 20 – 22 มีนาคม 2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท โดยตั้งเป้าหมายทริกเกอร์ 5% ภายในระยะเวลา 6 เดือน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยที่มีศักยภาพเติบโตสูง
ในเบื้องต้นกองทุน KT-TRIG7 จะเน้นลงทุนธีมหุ้นที่มีโอกาสเติบโต และได้รับประโยชน์จากหลายๆ ด้าน เช่น การบริโภค การท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง และหุ้นที่ผลกำไรลดลงผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และราคาปรับต่ำเป็น Laggard (Laggard+Bottom out)
นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อสูงต่อเนื่องกระทบการค้าโลก ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 3.4% จากการปรับเพิ่มประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้นมาที่ 29.5 ล้านคนจาก 22.5 ล้านคน การส่งออกจะหดตัว 0.5% นำเข้าคาดว่าอยู่ที่ 1% ชะลอตัวจากปีก่อนที่ขยายตัว 13.6%
ส่วนความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเติบโตค่อนข้างเร็ว เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือต่อไป
ตลาดหุ้นวันที่ 21 มี.ค.2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,577.18 จุด เพิ่มขึ้น 21.73 จุด หรือ +1.40% มูลค่าซื้อขาย 53,355.27 ล้านบาท โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,163.31 ล้านบาท ส่วน 3 กลุ่มที่เหลือขาย นำโดยต่างชาติทิ้ง 1,187.04 ล้านบาท
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า หุ้นในช่วงบ่ายนี้เร่งตัวขึ้น ดูแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่บวกเฉลี่ย 1% เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ก็ปรับขึ้นกว่า 1% หลังคลายความกังวลปัญหาภาคการเงินในสหรัฐ และยุโรป ซึ่งตลาดได้ตอบรับไปแล้ว และยังไม่มีข่าวลบออกมาเพิ่มอีก ทำให้ตลาดรีบาวด์ได้ในช่วงสั้น
นอกจากนี้ หุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากการยุบสภา และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Domestic plays ปรับตัวขึ้นมาหนุนตลาด เช่น กลุ่มค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, สื่อสาร รวมถึงหุ้นในกลุ่มธนาคารก็ฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง คาดว่านักลงทุนสถาบันจะเป็นผู้ซื้อ พร้อมให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21-22 มี.ค.นี้ ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (22 มี.ค) ตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้หลังจากที่ยืนเหนือ 1,570 จุด โดยมีแนวรับ 1,570-1,540 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580-1,585 ถัดไป 1,600 จุด