HoonSmart.com>>โบรกฯส่องเงินบาทอ่อนค่าในรอบ 16 ปี จากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าผิดปกติ กลัวเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยก.ย.นี้ ขายสินทรัพย์เสี่ยงโยกเข้าพันธบัตร กดดันหุ้นลงช่วงสั้น เชียร์หุ้นได้ประโยชน์ BBL, KBANK, TISCO, TLI, TFG, GFPT, ASIAN, SAPPE, SABINA, MEGA, HANA, DELTA, EPG แนะหลีกเลี่ยงกลุ่มโรงไฟฟ้า หนีต่างประเทศบาน คาดเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าปลายเดือนนี้ หลังขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% สิ้นปีอยู่ที่ 35-36 บาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า วันที่ 16 ก.ย.2565 เงินบาทอ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปี หลังจากลงมาแตะระดับกว่า 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสุดในรอบ 20 ปี ถือว่าแข็งค่าที่ผิดปกติ จึงทำให้เงินสกุลอื่นๆ อ่อนค่าทำ All time high โดยเงินดอลลาร์อยู่ในทิศทางแข็งค่าเป็นผลจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงและหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรแทน
อย่างไรก็ดี มองตลาดหุ้นคงจะอ่อนตัวในช่วงสั้น หากผลการประชุมเฟดในวันที่ 20-21 ก.ย.ออกมาส่งสัญญาณไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อ เงินดอลลาร์สหรัฐก็จะอ่อนค่า และเงินบาทคงจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ แต่ขณะนี้ตลาดมองว่าเฟดจะใช้ยาแรง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสหรัฐระยะสั้นอยู่ที่ 3.9% ตลาดมองปีนี้จะอยู่ที่ 4% ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นไปได้มาก แต่เศรษฐกิจสหรัฐไม่แข็งแกร่งด้วย ซึ่งคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักจนกว่าคนจะมองหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ถ้าเศรษฐกิจถดถอยคงจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
หุ้นไทยปรับตัวลงไม่แรง เพราะไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาก ซึ่งทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น แนะนำหุ้นในกลุ่มธนาคาร, ประกัน คือ BBL, KBANK, TISCO, TLI และหุ้นที่มีการจ่ายปันผลแน่นอน หุ้นยิ่งลดลง อัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend yield) ยิ่งสูง ส่วนเงินบาทอ่อนค่า แนะนำหุ้นในกลุ่มส่งออก, กลุ่มเกษตร-อาหาร เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี ก็ต้องกินอาหาร แนะนำหุ้น TFG, GFPT, ASIAN, SAPPE, SABINA ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี เพราะเศรษฐกิจขาลงยอดขาย ไม่ดีด้วย และหุ้นที่มีการเติบโตมาก เช่นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะเศรษฐกิจไม่ดี จะมีการเทรดในราคาต่ำ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า เงินบาทอ่อนค่าเป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า นักลงทุนกลัวความเสี่ยงจึงหันไปถือเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปลอดภัยที่สุด ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่ากดดันให้เงินไหลออก เห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นมาหลายวัน มีการทำ Short ตลาด TFEX จากกลัวเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นลบต่อตลาด
อย่างไรก็ดี ปลายเดือนก.ย.คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ซึ่งจะช่วยลดทอนการอ่อนค่าของเงินบาทไปได้บ้าง และปลายปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสที่จะเกินดุล หากเกินดุลก็จะทำให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน ล่าสุดฝ่ายวิจัยได้ปรับคาดการณ์เงินบาทสิ้นปี 2565 ไว้ที่ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากก่อนหน้านี้คาด 34.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า มองเป็นหุ้นในกลุ่มส่งออก อย่างกลุ่มอาหาร แนะนำ”ซื้อ”หุ้น MEGA ราคาเป้าหมาย 57.25 บาท, หุ้น SAPPE ราคาเป้าหมาย 50 บาท และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำ”ซื้อ”หุ้น HANA ราคาเป้าหมาย 63 บาท ส่วนหุ้น DELTA ราคาเป้าหมาย 441 บาท, หุ้น KCE ราคาเป้าหมาย 61.25 บาท ทั้งสองตัวนี้จะแนะนำ”ถือ” ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าเป็นหุ้นที่มีโครงการลงทุนต่างประเทศ เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในช่วงสั้นได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายล็อกกำไรไว้ก่อน เนื่องจากมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งเป็นผลจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะสัปดาห์นี้เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และเงินบาทอ่อนค่าลงมากทะลุ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี ดังนั้นจึงเห็นเงินทุนไหลออกในช่วงสั้น ส่งผลกระทบต่อหุ้น ซึ่งในเดือนก.ย.นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นมา 8 วันแล้ว จากที่เคยซื้ออย่างต่อเนื่อง ช่วงสั้นจึงต้องระวังการลงทุนบ้าง เพราะสัปดาห์นี้มีการประชุมธนาคารกลางหลายประเทศ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ), ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งต่างก็คงจะปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะต้องจับตาดูหลังประชุมเฟดแล้วเงินบาทจะอ่อนค่าแค่ไหน
“ปีนี้ยังมองเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลอยู่ก็มีส่วนทำให้เงินบาทอ่อนค่า แต่มองปลายปีนี้การท่องเที่ยวกลับมาจริงจะทำให้ดุลบริการดีขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคาดว่าปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล”นายวิจิตรกล่าว
ธีมเงินบาทอ่อนค่าจะหนุนหุ้นในกลุ่มส่งออกที่น่าสนใจลงทุน ซึ่งมองกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม แนะนำหุ้น SAPPE เพราะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกถึง 75% ของรายได้ทั้งหมด และมีการรับรู้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าพอสมควร อีกทั้งไตรมาส 2/2565 ผลงานออกมาดี และไตรมาส 3/65 ผลงานก็จะเร่งขึ้นอีก เนื่องจากเป็นฤดูส่งออก และได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า จึงแนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 60 บาท
ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มองว่า HANA และ KCE ธุรกิจยังไม่เด่น ขณะที่ DELTA ธุรกิจดี มี EV Charger และ Data Center ที่จะดีในครึ่งหลังปี 2565 อีกทั้งเก็งโอกาสการเข้า SET50 ซึ่งเก็งกันไปมากจนทำให้ Valuation สูงไปเล็กน้อย
กลุ่มยานยนต์ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น แต่เทรด P/E ไม่แพง และยังให้ปันผลสูง แนะนำหุ้น EPG ราคาเป้าหมาย 12 บาท ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า โดยมีรายได้จากการส่งออก 65-70%
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเงินบาทอ่อนค่า เป็นกลุ่มนำเข้าสินค้า และกลุ่มที่มีหนี้สกุลต่างประเทศสูง ซึ่งมองกลุ่มโรงไฟฟ้า จะไม่ชอบเงินบาทอ่อนค่า