HoonSmart.com>> 4 โบรกเกอร์ส่องหุ้น“เดลต้า อีเลคโทรนิคส์”เล็งกำไรครึ่งหลังปี 65 จะเติบโตดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากเข้าสู่ช่วงฤดูกาล High Season ยอดขายสินค้าหลักดี-ค่าเงินบาทอ่อนหนุน คาดกำไรไตรมาส 2/65 อยู่ในช่วง 2,200-2,700 ล้านบาท เติบโต 51.9-70% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโต 8% ถึง ลดลง 9.5% เทียบกับไตรมาส 1/65 ให้ราคาเป้าหมาย 330-419 บาท
น.ส.นารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่า บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA จะมีกำไรสุทธิ 2,515 ล้านบาท ในไตรมาส2/2565 เติบโต 51.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ที่มีฐานต่ำ แต่หดตัว 9.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว (QoQ) เป็นผลจากยอดขายทรงตัว ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และมีวันหยุดหลายวันตามเทศกาล รวมถึงการล็อกดาวน์ในจีน แต่มาร์จิ้นดีขึ้น ยอดขาย Data Center ก็ดีขึ้นด้วย และได้ผลดีจากเงินบาทอ่อนค่า
ส่วนแนวโน้มผลดำเนินงานของ DELTA ในครึ่งหลังปี 2565 จะดีขึ้น จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล (High Season) สินค้าหลักอย่าง Data Center และรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ก็ดีขึ้น รวมถึงได้แรงหนุนจากเงินบาทอ่อนค่า คาดการณ์ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 10,508 ล้านบาท เติบโต 57% YoY โดยให้ราคาเป้าหมาย 340 บาท
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า DELTA จะมีกำไรปกติ 2,431 ล้านบาท เติบโต 70% YoY และ 8% QoQ ตอบรับรายได้ที่เติบโตดี จาก Data center และรถไฟฟ้า (EV Car) รวมถึงมาร์จิ้นดีด้วย นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากเงินบาทอ่อนค่า
สำหรับครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีผลดำเนินงานที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วง High Season และกลุ่ม Data center, EV Car ก็ยังสร้างรายได้ให้เติบโตได้ดีต่อเนื่อง อีกทั้งเงินบาทอ่อนค่า พร้อมคาดการณ์กำไรปกติปี 2565 ที่ 10,122 ล้านบาท เติบโต 62% YoY พร้อมแนะนำ”เทรดดิ้ง”หุ้น DELTA ให้ราคาเป้าหมาย 330 บาท
บล.พาย แนะนำ”ซื้อ”หุ้น DELTA เชื่อว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% YoY แต่ลดลง 4% QoQ โดยคาดยอดขาย 2.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%YoY แต่ลดลง 4% QoQ เป็นผลจากการล็อกดาวน์ในจีน และเทศกาลวันหยุดยาว ประเมินอัตรากำไรขั้นต้น( GPM) ที่ 21.4% (-0.2 ppts YoY, +0.5 ppts QoQ) การเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นเป็นผลจากส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น (กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีสัดส่วนสูงขึ้น) คาดการณ์จะขยายตัวต่อเนื่องจากการที่กลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงเหล่านี้โตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กำไรปกติครึ่งปีแรก คิดเป็น 49% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 นับว่าสมเหตุสมผล เพราะคาดว่ากำไรจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 419 บาท เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์โลกที่อ่อนตัวลงและคาดว่ากำไรจะโตต่อเนื่องในปี 2565 โดยบริษัทยังคาดว่าจะเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปทานจนถึงต้นไตรมาส 4 และมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งไหลเข้ามาต่อเนื่องในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และ EV (35-40% ต่อรายได้รวมในปี 2564)
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ของ DELTA ลงจากเดิม 480 บาท เหลือ 410 บาท แต่ยังคงแนะนำ”ซื้อ” คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 2/65 จะอยู่ที่ 2,200 ลัานบาท เพิ่มขึ้น 59% YoY และเพิ่มขึ้น 1% QoQ ซึ่งจะทำให้กำไรจากธุรกิจหลักในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,500 ลัานบาท เพิ่มขึ้น 54% YoY คิดเป็น 47% ของประมาณกำไรปีนี้
ทั้งนี้คาดว่ายอดขายของ DELTA ในไตรมาส 2/65 จะอยู่ที่ 2.43 หมื่นล้านบาท (+18% YoY, -1% QoQ) รวมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4.89 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) แต่หากไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 697 ล้านดอลลาร์ (+6% YoY, -6% QoQ) เนื่องจาก มาตรการล็อกดาวน์ในจีน และวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงกรณีพิพาทระหว่างรัสเซีย และยูเครน ซึ่งทำให้ยอดขายในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,439 ล้านดอลลาร์ (+12% YoY) คิดเป็น 47% ของประมาณการยอดขายปีนี้
ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/65 จะอยู่ที่ 21.3% (-0.3ppts YoY, +0.5ppts QoQ) เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลง และมีการปรับสต็อกเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งแรกปี 65 อยู่ที่ 21.1% (-0.5ppts YoY) แต่ยังต่ำกว่าสมมติฐานปีนี้ที่ 22.3%
โมเมนตัมจะดีขึ้นในครึ่งหลังปี 65 จากการเกาะตามกระแสโลก เนื่องจาก CAPEX ของ CSPs เจ้าใหญ่จะเพิ่มขึ้น 17% YoY ในปี 2565 และ 6% ในปี 2566 และยอดจัดส่ง server ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 8% และ 10% ตามลำดับ รวมถึง ยอดขาย EV จะโตอย่างโดดเด่นเป็น 10.73 ล้านคัน (+65% YoY) โดยคาดว่า EV penetration rate จะอยู่ที่ 13.2% และเพิ่มเป็น 22.8% ภายในปี 2568 ซึ่งจะโตมากกวาประมาณการยอดขายรถยนต์โลกในปี 2565 ที่คาดว่าจะทรงตัว YoY อยู่ที่ 81.13 ล้านคัน จึงคาดว่ากำไรของ DELTA จะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง เพราะรายได้จากกลุ่ม data center และยานยนต์จะคิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวม