PTTEP กำไร Q1/65 ลดเหลือ 10,519 ลบ. ขาดทุนประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน

HoonSmart.com>> “ปตท.สผ.” กำไรไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 10,519 ล้านบาท ลดลง 8.79% จากงวดปีก่อน ขาดทุนสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน ด้านรายได้รวมเติบโตแตะ 68,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.49% เดินหน้าแผนงานผลิตก๊าซฯ จากโครงการจี 1/61 และจี 2/61 เต็มกำลัง พร้อมคาดปริมาณขายเฉลี่ยไตรมาส 2/65 และทั้งปีอยู่ที่ 467,000 บาร์เรล/วัน

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ 10,519.02 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.64 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 11,533.68 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.88 บาท โดยมีรายได้รวม 68,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 54,033.95 ล้านบาท

มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 68,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งมีรายได้ 1,989 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 66,222 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 427,368 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เทียบกับ 420,965 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันใน ไตรมาส 4 ของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตและขายก๊าซขั้นต่ำของโครงการอาทิตย์

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 1 นี้ บริษัทมีรายจ่ายจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-operating items) โดยมีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน จำนวน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลประกอบการดังกล่าว ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ 318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 321 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 10,646 ล้านบาท สำหรับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ในไตรมาสที่ 1 นี้ อยู่ที่ 26.54 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ 78% ซึ่งเป็นไปตามที่เป้าหมายที่วางไว้

“ในส่วนการดำเนินงานหลักของปีนี้ ปตท.สผ. ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในโครงการจี 1/61 หลังจากบริษัทเข้าเป็นผู้ดำเนินการ เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2565 โดยจะเร่งแผนงานการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนและประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสทางการลงทุนในธุรกิจใหม่นอกเหนือจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทำการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตกรีนอีเมทานอลซึ่งเป็นพลังงานสะอาด และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท.สผ. ที่จะสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นายมนตรี กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 และปี 2565 ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณการขาย ราคาขายและต้นทุน โดยบริษัทได้ติดตามและปรับเปลี่ยนแนวโน้มผลการดำเนินงานสำหรับปี 2565 ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและสภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปตท.สผ. คาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2/2565 และทั้งปี 2565 ที่ประมาณ 467,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เติบโตจากปี 2564 จากการรับรู้ยอดขายเต็มปีเป็นปีแรกของโครงการมาเลเซีย แปลงเอช และโครงการโอมาน แปลง 61 รวมถึงการเริ่มผลิตปิโตรเลียมของโครงการจี 1/61 และโครงการ แอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ซึ่งจะเริ่มการผลิตในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ด้วย

ส่วนราคาขายนั้น ราคาน้ำมันดิบของบริษัทจะผันแปรตามตลาดโลก โดยการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบดูไบจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ได้แก่ สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงระยะเวลาที่จะสิ้นสุดสงคราม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การปล่อยน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์และปริมาณการผลิตจากประเทศผู้ผลิตหลัก ๆ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ ส่งผลให้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 2565 อยู่ระหว่าง 90-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย การฟื้นตัวของอุปสงค์การชะลอตัวของเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่สูง นโยบายการเงินจากธนาคารกลาง รวมไปถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่านและเวเนซุเอลาที่อาจจะได้รับการยกเลิกในปีนี้

ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทนั้นมีโครงสร้างราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน บริษัทคาดว่าราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2/65 และทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 6.2 และ 6.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็นผลจากการปรับราคาย้อนหลังของราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งได้สะท้อนช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างความสมดุลทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน รวมทั้ง สนับสนุนเป้าหมายของประเทศเกี่ยวกับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน โดย ปตท.สผ. ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ซึ่งจะดำเนินงานผ่านแนวคิด EP Net Zero 2050 เพื่อสร้างคุณค่าร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

การดำเนินงานตามแนวคิด EP Net Zero 2050 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว จะครอบคลุม Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และ Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่ง ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ (Operational Control) โดยได้กำหนดเป้าหมายเพื่อลดปริมาณความเข้ม (Intensity) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ไม่น้อยกว่า 30% ภายในปี 2573 และ 50% ภายในปี 2583 (จากปีฐาน 2563) เพื่อนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2593

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับ บริษัท อินเป็กซ์ คอร์ปอเรชั่น และเจจีซี โฮลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ในประเทศไทย ซึ่งจะครอบคลุมถึงขั้นตอน เทคโนโลยี และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรม รวมถึง ได้ลงนามความร่วมมือกับ 5 บริษัทนานาชาติชั้นนำด้านพลังงานและโลจิสติกส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “โรงงานผลิตกรีนอีเมทานอล” (Green e-methanol) เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำที่ได้จากการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ชีวภาพ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU)