HoonSmart.com>> หุ้นไทยส่อเงียบเหงา! ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลสำรวจ หนุนปรับปรุง “มาตรการกำกับซื้อขาย” คุมหุ้นร้อน เก็งกำไรสนั่นไร้พื้นฐาน แนะเพิ่มมาตรการคุมหุ้นฟรีโฟลทต่ำ มาร์เก็ตแคปใหญ่ เร่งสกัดหุ้นร้อนเร็วขึ้น รวบใช้มาตรการระดับ 1-2 หยุดพักการซื้อขายตั้งแต่ระดับ 1 ถูกขังนานขึ้น เก็บค่าคอมมิชชั่นสูง ปรับลดซิลลิ่ง-ฟลอร์ ห้ามเทรดชั่วคราว 1 วัน เป็นมาตรการระดับ 3 หุ้น JAS ดิ่งแรงจาก 3.94 บาท ปิดที่ 3.38 บาท BWG ทรุดจาก 1.31 บาทปิด 1.24 บาท คลังเล็งเดินหน้าเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% สำหรับขาใหญ่มูลค่าซื้อขายเกิน 1 ล้านบาทต่อเดือน เล็งกวาดรายได้เข้ารัฐ 6-7 พันล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขาย เพื่อให้ดำเนินการป้องกันความเสี่ยงให้เร็วขึ้น โดยมีผู้ให้ความเห็นผ่านทางเว็บไซต์ระหว่างวันที่ 1 – 12 พ.ย.2564 และจากการรับฟังความคิดเห็นแบบกลุ่ม (Focus Group) กับบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีผู้ให้ความคิดเห็นรวม 228 ราย ซึ่งประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ 66 ราย, บริษัทจดทะเบียน 73 ราย, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 4 ราย, ผู้ลงทุนทั่วไป 83 ราย, สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA)
สำหรับประเด็นข้อหารือที่ 1 เกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขาย ผู้ให้ความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยตามหลักการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ โดยให้เหตุผลว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรมีมาตรการดำเนินการกับหลักทรัพย์ที่มีภาวะเก็งกำไรสูง หรือสภาพการซื้อขายร้อนแรงโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับอย่างเข้มงวดและรวดเร็ว โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้
– ควรแจ้งผู้ลงทุนให้เร็วขึ้นก่อนใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย หรือมี Application เพื่อแจ้งเตือนผู้ลงทุนให้ทราบล่วงหน้าและได้มีเวลาเตรียมตัว
– ควรเพิ่มมาตรการสำหรับหลักทรัพย์ที่มี Free Float ต่ำ และมี Market Capitalization ขนาดใหญ่ซึ่งมีผลกระทบต่อดัชนีหลักทรัพย์(SET Index) มากกว่าหลักทรัพย์ขนาดเล็ก
– ควรเปิดเผยหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย และให้ดำเนินการกับหลักทรัพย์ที่ราคาปรับลดลงมากด้วย
– ส่งเสริมและให้ความรู้แก่ผู้ลงทุน เพื่อแก้ปัญหาการลงทุนที่ไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม มีผู้ให้ความเห็นที่เป็นผู้ลงทุนบางรายเห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาด เนื่องจากมาตรการกำกับการซื้อขายอาจส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนที่เข้ามาซื้อขายตามปกติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาวะการซื้อขายที่ผิดปกตินั้น
ส่วนข้อหารือที่ 2 เกี่ยวกับการดาเนินมาตรการเร็วขึ้น โดยรวบมาตรการระดับ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน และให้เริ่มมาตรการระดับ 1 ด้วยการให้ซื้อด้วยบัญชี Cash Balance และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย
ผู้ให้ความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยตามหลักการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ โดยให้เหตุผลว่า ภาวะการเก็งกำไรสูงในปัจจุบันเกิดจากผู้ลงทุนส่วนใหญ่มีเงินสดเพียงพอที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ขนาดเล็กที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย ดังนั้น การห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย อาจไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการ และไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้
– อาจห้าม Net Settlement และหยุดพักการซื้อขายตั้งแต่มาตรการระดับ 1 เพื่อให้มีความกระชับและรวดเร็วในการสกัดภาวะร้อนแรง
– ควรขยายระยะเวลาสิ้นสุดของมาตรการแต่ละระดับให้นานขึ้น
– ควรมีการจำกัดวงเงินในบัญชีCash Balance ที่จะใช้ซื้อหลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย
– อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย (Commission) หลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการก ากับการซื้อขายให้สูงกว่าปกติหรือปรับลด Ceiling & Floor
อย่างไรก็ตาม มีผู้ให้ความเห็นที่เป็นผู้ลงทุนบางราย ไม่เห็นด้วย โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลเช่นเดียวกับข้อ 1 กล่าวคือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาด และเห็นว่ามาตรการเดิมเพียงพอและเหมาะสมแล้ว
ส่วนข้อหารือที่ 3 เกี่ยวกับการเพิ่มการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 วันทำการเป็นมาตรการระดับ 3
ผู้ให้ความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยตามหลักการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ โดยให้เหตุผลว่า การห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว 1 วัน มีความเท่าเทียมกัน และจะช่วยลดความร้อนแรงของการซื้อขายหลักทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ทำให้มีเวลาพิจารณาทบทวนก่อนตัดสินใจลงทุน
นอกจากนั้นยังเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศอื่น ๆ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้
– ควรประสานงานมิให้กระทบต่อการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) ของบริษัทจดทะเบียน
– ควรสื่อสารและทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเป็นมาตรการกำกับการซื้อขาย โดยมิได้เกิดจากบริษัทจดทะเบียนฝ่าฝืน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
– ควรห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวในมาตรการทุกระดับโดยแต่ละระดับอาจหยุดพักการซื้อขายไม่เท่ากัน
– ควรห้ามซื้อขายหลักทรัพย์มากกว่า 1 วัน โดยอาจกำหนดตามระดับความร้อนแรง
อย่างไรก็ตาม มีผู้ให้ความเห็นที่เป็นผู้ลงทุนบางรายไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า มาตราการดังกล่าวอาจไม่สามารถทำให้ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์กลับสู่ภาวะปกติได้ และมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกห้ามซื้อขาย รวมทั้งอาจเป็นการริดรอนสิทธิของผู้ลงทุนที่เข้ามาซื้อขายปกติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาวะการซื้อขายที่ผิดปกตินั้น
ด้านการซื้อขายหุ้นวันที่ 15 ธ.ค. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,623.66 จุด ลดลง-6.98 จุดหรือ -0.43% มูลค่าการซื้อขาย 63,107.29 ล้านบาท โดยหุ้น JAS ร่วงแรงผิดปกติ หลังจากตีขึ้นไปสูงสุดถึง 3.94 บาท ถูกตบลงมาปิดที่ 3.38 บาท ร่วงลง 0.32 บาทหรือ -8.65% มูลค่าการซื้อขายมากถึง 4,630.52 ล้านบาท สูงสุดประจำวัน และ BWG ราคาไล่ขึ้นไปถึง 1.31 บาท ลงมาปิดที่ 1.24 บาท -0.04 บาทหรือ -3.12 % มูลค่าซื้อขาย 459.58 ล้านบาท รวมถึงบริษัทในกลุ่ม คือ ETC ปิดที่ 3.26 บาท ลดลง -0.22 บาท หรือ-6.32%
วันที่ 15 ธ.ค. มีรายงานข่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมเดินหน้าเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% สำหรับนักลงทุนที่มีมูลค่าซื้อขายเกิน 1 ล้านบาทต่อเดือน กวาดรายได้เข้ารัฐ 6-7 พันล้านบาท แม้จะมีเสียงคัดค้านก็ตาม เพราะได้ไม่คุ้มเสีย นักลงทุนในตลาดหุ้นมีเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งอาจหนีไปลงทุนในตลาดหุ้นแห่งอื่น ส่งผลกระทบแหล่งระดมทุน-แหล่งออมของประเทศ