3 กูรูแนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น Q4 รับมือ FED- ECB เริ่มถอย QE

HoonSmart.com>> “บล.เมย์แบงก์ฯ” คาดตลาดหุ้นไตรมาสที่ 4/64 ทรงตัว การทยอยลด QE ของทั้งสหรัฐ-ยุโรปกระทบไม่มาก ปัจจัยเสี่ยงในประเทศกดดัน กลยุทธ์ตัดขายทำกำไรบ้างใกล้บริเวณ 1,700 จุด  ราคาหุ้นไทยค่อนข้างแพง  ส่วน”บล.หยวนต้า-บล.โนมูระฯ” ลุ้นการฟื้นตัวในประเทศ เงินมีโอกาสไหลเข้า  ช่วยประคองตลาด  เน้นหุ้นปลอดภัย-ราคาขึ้นช้า กลุ่มไฟฟ้า-สื่อสาร

วันที่ 10 ก.ย. 2564 ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,635.35 จุด เพิ่มขึ้น 6.23 จุด หรือ 0.38% เกิดจากแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ รวมถึงปรับขึ้นตามตลาดหุ้นยุโรปและดาวโจนส์ ฟิวเจอร์ส โดย”กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ออกมาค่อนข้างดีกว่าที่ตลาดคาด จากตอนแรกที่ตลาดคาดว่าจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรเหลือ 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน แต่ที่ออกมาปรับลดเหลือ 70,000 ล้านยูโรต่อเดือน ทำให้สภาพคล่องในระบบยังไม่ไหลออกเร็วมาก ซึ่งก็ต้องดูทางฝั่งธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ว่าการประชุมช่วงสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนก.ย.นี้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร

ด้านผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ทิศทางของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) มีโอกาสจะไหลออก แต่ถ้าภาพเศรษฐกิจในประเทศมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ก็ทำให้การพักฐานในช่วงถัดไปจะไม่ลดลงแรง  การลงทุนในช่วงไตรมาส 4 แนะนำเป็นการลงทุนระยะยาว เข้าซื้อเมื่อตลาดย่อตัวลงมา แนะนำหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ KCE และHANA หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF และ GPSC และหุ้นสื่อสาร แนะนำ ADVANC และTRUE

“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ECB เริ่มส่งสัญญาณที่จะทยอยลดการซื้อพันธบัตร แต่รายละเอียดยังไม่ได้บอกอย่างชัดเจน คาดว่าจะเริ่มทยอยซื้อในปริมาณที่ลดลงในช่วงไตรมาส 4 นี้ จากเดิมซื้ออยู่ที่ 80,000 ล้านยูโรต่อเดือน ส่วนวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินป้องกันผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 (PEPP) อยู่ที่ 1.85 ล้านล้านยูโร ที่เริ่มใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 จะสิ้นสุดลงในเดือน มี.ค.2565 แต่ทั้งนี้ก็สามารถปรับกรอบวงเงินตามสถานการณ์ได้ เช่นเดียวกันกับทางฝั่งธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ภายในปี 2564 นี้

“คิดว่า 2 ฝั่ง ทั้งสหรัฐฯและยุโรป จะเริ่มปรับลดวงเงินในระยะเวลาพร้อมๆกัน รวมถึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันด้วย การลด QE ส่งผลให้ทิศทางของค่าเงินทั้งดอลลาร์และยูโรแข็งค่าขึ้น ก็อาจจะเอื้อประโยชน์ในทางอ้อมต่อทิศทางค่าเงินบาทของไทยให้อ่อนค่าได้” นายวิจิตร กล่าว

ส่วนทิศทางของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ คาดว่าจะไหลกลับ เมื่อปรับลดวงเงิน แต่ตลาดหุ้นไทยภาพรวม Fund Flow เป็นภาพของการขายสุทธิอยู่แล้ว จากต้นปี 2564 ถึงปัจจุบัน (10 ก.ย.) ขายสุทธิไปประมาณ 79,933.30 ล้านบาท ซึ่งถ้าเม็ดเงินจะไหลกลับ ก็คงกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไม่มาก

แนวโน้มตลาดในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าทรงตัว เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ เช่นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ยังสูงเป็นหลักหมื่นราย จึงแนะนำเลือกหุ้นรายตัว โดยใช้จังหวะตลาดย่อตัว เป็นโอกาสเข้าซื้อ เนื่องจากราคาหุ้นโดยรวมค่อนข้างจะแพง และขายทำกำไรบ้าง เมื่อตลาดใกล้ถึงบริเวณ 1,700 จุด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ได้แก่ COM7, JMT หุ้นเปิดเมือง แนะนำ AOT และ GFPT ส่วนหุ้นที่เติบโตตามเศรษฐกิจโลก แนะนำ WICE และ NER

” ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรของทั้งยุโรป และสหรัฐฯ มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย แต่ภาพการฟื้นตัวในประเทศ อาจจะเป็นปัจจัยบวก ทิศทางของ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้ามามากขึ้น เนื่องจากการปรับลดวงเงิน QE ลง ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงของตลาดกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว พักฐานลงมา ประกอบการกับทิศทางของตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ กำลังฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ความน่าสนใจกลับมาอยู่ที่ตลาดเกิดใหม่มากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว

ในช่วงไตรมาส 4/2564 คาดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1,550-1,680 จุด ก็ต้องรอดูทิศทางของจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศ ส่วนการพิจารณาคลายล็อกดาวน์ ตลาดก็ตอบรับไปบางส่วนแล้ว กลยุทธ์แนะนำหุ้นปลอดภัยและยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard) ในกลุ่มโรงไฟฟ้าและสื่อสาร ได้แก่ ADVANC, BGRIM และ EP