บล.บัวหลวง ชี้นักลงทุนปรับพอร์ตเก็งกำไร Block Trade สัญญาคงค้างเฉลี่ยลดลง 27.02% ตอบรับตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค.ขยับขึ้น 6.66% หุ้นอ้างอิงยอดนิยม “PTT-KTC-PTTEP”
นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.66% โดยนักลงทุนปรับพอร์ตลงทุน ด้วยการหันมาเก็งกำไรมากขึ้น ส่งผลให้สถานะคงค้างเฉลี่ยต่อวันลดลงถึง 27.02 % จาก 2,847,279 สัญญา เหลือเพียง 2,077,939 สัญญา
ในเดือนกรกฎาคม มีปริมาณการซื้อขายธุรกรรม Block Trade สูงถึง 3,356,210 สัญญา จากปริมาณการซื้อขายรวม Single Stock Futures ทั้งสิ้น 3,513,685 สัญญา โดยมีมูลค่าการซื้อขาย Single Stock Futures (คำนวณจากราคาปิด) ประมาณ 73,283 ล้านบาท เฉลี่ย 3,664 ล้านบาทต่อวัน เป็นสัดส่วนของ Block Trade สูงถึงประมาณ 69,650 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 3,483 ล้านบาทเฉลี่ยต่อวัน หรือคิดเป็น 95.04%
“มูลค่าสถานะคงค้างที่อยู่เฉลี่ย 25,687 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายนที่อยู่ระดับ 36,487 ล้านบาท หรือลดลง 29.60% ของมูลค่าเฉลี่ยสัญญาคงค้าง แสดงถึงนักลงทุนมีการกระชับพอร์ตการลงทุนโดยเน้นการเก็งกำไรมากขึ้น เมื่อเทียบกับสภาวะตลาดที่มีการปรับตัวขึ้น” นายบรรณรงค์ กล่าว
สำหรับหุ้นอ้างอิงที่ทำธุรกรรม Block Trade ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากทั้งหมด 93 หุ้น อันดับหนึ่ง คือ หุ้นอ้างอิง PTT ที่มีสัดส่วนการซื้อขายสูง 13.37% โดยนักลงทุนให้ความสนใจจากคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในครึ่งหลังของปี 2561 จะอยู่ในช่วง 65-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างต่อเนื่องของเวเนซุเอลาและอิหร่านที่ถูกมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา ประกอบกับการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัวจากข้อจำกัดด้านท่อขนส่งน้ำมัน
อันดับที่ 2 คือ หุ้นอ้างอิง KTC ที่มีสัดส่วนการซื้อขายสูงถึง 6.35% จากมีการประกาศแตกพาร์ นักลงทุนจึงให้ความสนใจเข้ามาเก็งกำไร ส่งผลให้ราคาหุ้น KTC มีความผันผวนสูง และหลังจากรายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% และทำนิวไฮรายไตรมาสต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ในครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,515 ล้าน เป็นผลจากรายได้เติบโต 10% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงที่ 4%
ส่วนอันดับที่ 3 คือ หุ้นอ้างอิง PTTEP ที่มีสัดส่วนการซื้อขายสูงถึง 5.91% โดยนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาเก็งกำไรจากผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,590.27 ล้านบาท ลดลงถึง 52% ทำให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16,970.98 ล้านบาท ลดลง 14.37% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการขาดทุนและค่าใช้จ่ายภาษีจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐระหว่างไตรมาส