HoonSmart.com>> บลจ.ยูโอบี มองแนวโน้มครึ่งปีหลังตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับฐาน แนะลดสัดส่วนหุ้น กระจายหลายสินทรัพย์ บอนด์-ทอง-รีท-กองทุนอสังหาฯ ด้านหุ้นไทยยังรอวัคซีนหนุน คาดกรอบดัชนีเคลื่อนไหว 1,480-1,650 จุด แนะรอซื้อหลุด 1,500 จุด ถือระยะยาวเน้นกลุ่มการเงิน วัสดุก่อสร้าง ส่วนลงทุนประหยัดภาษีแนะจังหวะซื้อ SSF-RMF
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 3/2564 มองตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับฐาน เนื่องจากราคาหุ้นโดยเฉพาะสหรัฐฯ ราคาไม่ถูก อักทั้งนักลงทุนจะกลับมากังวลนโยบายการเงิน นโยบายการเมืองในสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังถูกผลกระทบกรณีทางการเข้ามาคุมกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมีโอกาสที่จะคุมธุรกิจอื่นต่อเนื่อง เพื่อปรับสมดุลก่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ด้านตลาดหุ้นเอเชียยังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ โดยตลาดที่น่าสนใจ ได้แก่ ตลาดสิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีได้ประโยชน์จากวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปยังคงเป็นตลาดที่ปลอดภัย แต่ระดับราคาหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันเริ่มแพง อาจต้องรอจังหวะปรับฐานค่อยเข้าซื้อกลุ่ม Thematics และหุ้นขนาดกลางเล็ก
“ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับฐานมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นและกระจายการลงทุนไปในทั้งสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นบอนด์ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์และทองคำ รวมถึง REIT และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันผลตอบแทนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกประมาณ 3-4% และมีโอกาสฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ”ดร.จิติพล กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3/64 มองว่ายังไม่ใช่จังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากการฉีดวัคซีนยังล่าช้า ส่งผลต่อการเปิดประเทศอาจช้าออกไป โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ 1,480-1,600 จุด ซึ่งนักลงทุนอาจรอจังหวะหุ้นปรับฐานต่ำกว่า 1,500 จุด ค่อยเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว โดยเน้นหุ้นกลุ่มการเงิน ก่อสร้าง รวมถึงการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี SSF และ RMF มองเป็นจังหวะเข้าซื้อ
“ด้านค่าเงินบาทในปีนี้อ่อนค่า 8% แย่สุดในภูมิภาค หลังจากไทยไม่สามารถคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ และยังไม่เห็นจุดฟื้นตัว มองว่าไตรมาส 3 นี้คาดว่าประเทศไทยมีโอกาสเห็นยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดแตะระดับ 2-2.5 หมื่นราย/วัน ส่งผลให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าที่ระดับ 33.3-33.5 บาท/ดอลลาร์ หลังจากนั้นยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อน่าจะปรับลดลงและหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ โดยคาดหวังปลายปีจะต่ำกว่า 32 บาท/ดอลลาร์ หากเริ่มเห็นการเดินทางเกิดขึ้น”ดร.จิติพล กล่าว
นอกจากนี้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศลด QE ในเดือนก.ย.นี้และลดจริงปี 2565 ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก กลางปี 2566 ซึ่งไทยมีโอกาสขึ้นตามหลังจากนั้น อยางไรก็ตามเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเนื่องจากสหรัฐใช้นโยบายการคลังสูง ขณะที่หุ้นสหรัฐเริ่มเต็มมูลค่า เงินจึงมีโอกาสเงินไหลออก จึงมองเงินยูโรและเงินหยวนจะได้รับความสนใจมากขึ้น รวมทั้งหากเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าจะหนุนให้พันธบัตรรัฐบาลในประเทศกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) มีโอกาสฟื้นตัว
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในไตรมาส 3 นี้ยังต้องลุ้นว่าจะถึงระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือไม่ ซึ่งหากเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นปรับฐานนักลงทุนอาจเข้ามาลงทุนทองซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัว การฉีดวัคซีนได้มากขึ้นก็อาจเห็นนักลงทุนขายทอง ราคาลงมา 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่คงยังไม่เห็นง่าย