HoonSmart.com>> “พีทีที โกลบอลฯ” ประกาศไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ซื้อกิจการเยอรมนี Allnex มูลค่ากว่า 1.97 แสนล้านบาท ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงหนุนกำไรดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เตรียมเงินทุนพร้อม กู้ปตท. 7.3 หมื่นล้านบาท ขอยืมแบงก์ บล.กรุงไทย ซีมิโก้ มองดีลดีระยะยาว ราคาหุ้นดิ่งเป็นโอกาสซื้อ ให้เป้า 71 บาท ไม่รวมซื้อกิจการครั้งนี้ บล.ทรีนีตี้มองบวก ยืนมูลค่า 80 บาท บล.กสิกรไทยลั่นได้ไม่คุ้มเสีย
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทย่อยมีมติอนุมัติให้ซื้อหุ้น Allnex Holding GmbH เยอรมนี ในราคา 3,575.9 ล้านยูโร หรือมูลค่าประมาณ 132,608 ล้านบาท ทำสัญญาเงินกู้ให้อีกมูลค่า 426.3 ล้านยูโร หรือประมาณ 15,809 ล้านบาท นอกจากนี้เข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ รวมมูลค่ากว่า 1.97 แสนล้านบาท คาดว่าการทําธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค.2564
“บริษัทฯ ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เนื่องจากมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ ได้แก่ เงินสดในมือ การจัดหาเงินกู้จากภายนอก ทั้งสัญญาเงินกู้จากบริษัท ปตท. ไม่เกิน 73,920 ล้านบาท อายุ 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยเทียบเคียงตลาดไม่เกิน 2.5% ต่อปี และกู้เงินจากสถาบันการเงิน” บริษัท PTTGC ระบุ
บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากดีลนี้ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นเข้าสู่ธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เพิ่มสัดส่วนกําไรจากกลุ่ม High Value Business (HVB) ที่มีการเติบโตและสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคภายใต้ Megatrends โดย Allnexเป็นผู้ผลิต Coating Resins และ Crosslinkers ชั้นนําระดับสากลจะช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตให้บริษัทในกลุ่มธุรกิจ HVB อย่างยั่งยืนในระดับสากล
นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลประกอบการที่ดีและมูลค่า Synergy จะส่งผลให้ผลประกอบการรวมและฐานะการเงินแข็งแกร่งและสามารถดำเนินธุรกิจและเจริญเติบโตไปตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยให้ความสำคัญในการดูแลรักษาระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินให้ยังคงแข็งแกร่งต่อไปด้วย
บล.กรุงไทย ซีมิโก้ วิเคราะห์จากการ Conference call ว่า บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วน net debt/equity ที่เพียง 0.5 เท่าและเงินสดในมืออีกราว 1 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสแรก มีเงินจากการขายหุ้น GPSC อีก 25,000 ล้านบาท จึงน่าจะสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน และราคาซื้อกิจการคิดเป็น EV/EBITDA ที่ประมาณ 10 เท่า ซึ่งเป็นราคาตลาด เทียบกับอุตสาหกรรมที่ 6-12 เท่า ขึ้นอยู่กับ product portfolio ของแต่ละบริษัท หากเน้น specialty chemical ในสัดส่วนที่สูง ก็จะตกราว 11-12 เท่า ในปี 2020 จากการประมาณการเบื้องต้น คาดว่ากำไรระยะยาวของ PTTGC จะเพิ่มขึ้นราว 16%โดยเฉลี่ย และจะมีอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมายประมาณ 3 บาท/หุ้น ขึ้นอยู่กับ product portfolio ของแต่ละบริษัท หากเน้น specialty chemical ในสัดส่วนที่สูง ก็จะตกราว 11-12 เท่า
“ราคาหุ้นที่ร่วงลงแรง อาจเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เรามองดีลเป็นบวกในระยะยาว โดยประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายปัจจุบันที่ 71 บาท ยังไม่รวมดีลการเข้าซื้อกิจการ หากดูผลการดำเนินงานของ Allnex พบว่ามี EBITDA ราว 330-350 ล้านยูโร/ปี (12-13 พันล้านบาท/ปี), มีกำไรสุทธิราว 80-100 ล้านยูโร/ปี (ราว 3.0-3.7 พันล้านบาท/ปี) และมี EBITDA margin ราว 13-17% คาดจะหนุนให้ฐานกำไรของ PTTGC ในอนาคตแข็งแกร่งขึ้น และสอดรับกับเป้าหมายการเติบโดอย่างยั่งยืนในระยะยาว เน้นการลงทุนสู่ธุรกิจ HVB ที่บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่ม EBITDA contribution จากธุรกิจนี้เป็น 25% ในปี 2030 (จากปัจจุบันที่ 10%)”บล.กรุงไทย ซีมิโก้ระบุ
แม้ว่าการกู้ยืมเงินจากปตท. และสถาบันการเงินอาจทำให้ net D/E ratio อาจเร่งตัวขึ้นเป็นอยู่ที่ระดับ 0.6 เท่า ซึ่งคาดจะเป็นระดับสูงสุด และปรับลดลงในปีหน้า จากการจ่ายคืนหุ้นกู้บางส่วน และเงินที่ได้จากการดำเนินงาน
บล.ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำซื้อหุ้น PTTGC ให้ราคาเป้าหมาย 80 บาท มีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุน 1.การเพิ่มธุรกิจ Downstream ที่เป็น Coating ซึ่งมีมาร์จิ้น ที่ค่อนข้างคงที่ 2.ราคาซื้อก็ไม่แพง 9-10เ ท่าของ EBITDA เทียบอุตสาหกรรมประมาณ 10-13 เท่า 3.ช่วยเพิ่ม EBITDA Margin ประมาณ 1-2% (Allnex มี EBITDA Margin ประมาณ 17% ในขณะที่ PTTGC มี EBITDA Margin 10-15%) 4. เงินสดในมือเพียงพอไม่ต้องเพิ่มทุน 5. ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเงินกู้ปตท.จะหักกลบ กับกำไรของ Allnex ประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้เชื่อว่าผลประกอบการในปี 2564 จะฟื้นตัวแกร่งจากธุรกิจปิโตรเคมีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
บล.กสิกรไทย การเข้าซื้อกิจการที่ 9.8 เท่าของ EV/EBITDA แพงกว่าการเข้าซื้อกิจการ 5.7 เท่า EV/EBITDA ของ Covestro เพื่อซื้อ DSM (รวมถึง Euro120mn synergy) ฝ่ายบริหารอ้างว่าการเข้าซื้อกิจการของ Covestro เกิดขึ้นที่ 10 เท่า EV/EBITDA บนพื้นฐานเดียวกัน
ผู้บริหารมองว่าการลงทุนครั้งนี้ คือธุรกิจมูลค่าสูง แต่เรามองว่าเป็นเรื่องปกติของธุรกิจพลาสติกสมรรถนะสูงที่ความสามารถในการทำกำไรจะผันผวนตามวัฏจักรอุตสาหกรรม แม้จะมีอัตรากำไรที่คงที่ก็ตาม ซึ่งในปี 2563 รายได้และ EBITDA ของ Allnex ลดลงเหลือ 29 ล้านยูโรและ 270 ล้านยูโร เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์และผลกระทบของสงครามการค้า มีการทำงานร่วมกันประมาณ 20 ล้านยูโรต่อปีภายใต้การศึกษา ส่วนใหญ่เป็นการย้ายฐานการผลิตและสำนักงาน กำไรสุทธิ LTM12 เท่ากับ 88 ล้านยูโร ในระดับรวมของ PTTGC กำไรส่วนเพิ่มจะลดลง 40 ล้านยูโร เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น ดังนั้น การสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นอาจมีน้อยเมื่อเทียบกับงบดุลที่หนักกว่า
ด้านการซื้อขายหุ้น PTTGC ดิ่งลงแรงผิดปกติ ราคาลงไปลึกที่สุด 54.25 บาท ก่อนฟื้นขึ้นมาปิดที่ 54.75 บาท ร่วง 3.75 บาทหรือ-6.41% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 6,119 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2564 เทียบกับตลาดดดยรวมติดลบเพียง 2.25 จุดหรือ -0.14% เท่านั้น ทั้งนี้ราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่าเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้สูงกว่า 70 บาทต่อหุ้น