HoonSmart.com>>”ไออาร์พีซี” มั่นใจปีนี้พลิกมีกำไร ผ่านมา 6 สัปดาห์แรก ดีเกินคาด ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มแตะ 60 เหรียญสหรัฐ ทำให้ไม่ขาดทุนสต๊อกมากเหมือนปีที่ผ่านมา องค์กรเพิ่มขีดความสามารถพร้อมแข่งขัน ต้นทุนลดลง วิเคราะห์ข้อมูลแม่นยำ เสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมตอบสนองความต้องการยุค New Normal
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลประกอบการปี 2564 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 6,152 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากขาดทุนสต็อกน้ำมัน ในปีนี้ผ่านมา 6 สัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบดูไบไต่ระดับแตะ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล สูงกว่าคาดการณ์ของบริษัทที่มองว่าปีนี้ราคาจะอยู่ที่ราว 47 เหรียญฯ/บาร์เรล
” เราตั้งเป้าหมายธุรกิจปี 2564 แบบมีกำไร เพียง 6 สัปดาห์แรก เกินเป้าที่กำหนดไว้ ภาวะตลาดดี เราเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร การวิเคราะห์ข้อมูล IRPC พร้อมรับมือกับความท้าทายในยุค New Normal ด้วยการปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้างต้นทุน รูปแบบการทำธุรกิจและวิธีการทำงานที่เข้าใจ เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมทั้งขยายขอบเขตการลงทุน สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรและการพัฒนาธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ “นายชวลิตกล่าว
บริษัทได้กำหนดเป้าหมายและวิธีการเดินหน้าสู่ความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ 3 S ได้แก่ Strengthening the core การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจหลัก คือ แผนการลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 (Euro V) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ปี 2566 พร้อมปรับปรุงกระบวนการทำงาน IRPC 4.0 เป็นการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร เช่น พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในโรงงานเป็น Smart Operation ควบคุมและวางแผนระบบการผลิตด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและการตลาด โดยใช้ระบบดิจิทัล ทำให้เข้าถึงความต้องการของลูกค้าและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเลือกซื้อน้ำมันดิบ วัตถุดิบ การวางแผนการผลิต และการวางโครงสร้างด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงขององค์กรสู่ระบบดิจิทัล IRPC ยังให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างต้นทุน และการเพิ่มศักยภาพของทรัพยากรบุคคลให้สอดรับกับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย
ส่วน Striving the growth ขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ เล็งเห็นความสำคัญของการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง กลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty) เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรสู่ปิโตรเคมีปลายน้ำ ให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมมือกับ ปตท. ในการศึกษาการผลิต Melt Blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และ Nitrile Butadiene Latex วัตถุดิบที่นำไปผลิตเป็นถุงมือแพทย์ และการร่วมทุนกับบริษัท เจแปน โพลิโพรพิลีน คอร์ปอเรชั่น เพื่อผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษพีพีคอมพาวด์ ให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาต่อยอดไปยังธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตในอนาคตต่อไป
สำหรับ Sustaining the future การพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน และสังคมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ด ใช้พลังงานทดแทนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในองค์กรอย่างครบวงจร โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชสร้างห้องปฏิบัติการกลางเพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2564