SHREIT ชี้ธุรกิจโรงแรมถดถอย ชงผู้ถือหน่วยขายกิจการให้ LTB เสนอซื้อ 3.3 พันลบ.

HoonSmart.com>> SHREIT เผย LT Rubicon Limited เสนอซื้อหุ้น SHH-SHH2 เจ้าของโรงแรม 3 แห่งในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของกองทรัสต์อีกรอบ มูลค่า 3.3 พันล้านบาท ชงผู้ถือหน่วยทรัสต์เคาะ 2 พ.ย.นี้ ชี้สถานการณ์โรงแรมถดถอย อินโดฯ ล็อกดาวน์รอบใหม่กระทบธุรกิจ เวียดนามยังระงับเที่ยวบินต่างประเทศ ทำธุรกิจขาดทุน จนผิดเงื่อนไขเงินกู้ หวังขายสินทรัพย์นำเงินคืนหนี้ พร้อมเพิกถอนหน่วยลงทุนออกจากตลาดหลักทรัพย์

บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด (SPI) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ (SHREIT) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้รับคำเสนอซื้อจาก LT Rubicon Limited (LTB หรือผู้ทำเสนอซื้อ) ลงวันที่ 31 ส.ค.2563 และได้รับจดหมายร้องขอให้มีการจัดประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์เพื่อพิจารณาคำเสนอซื้อดังกล่าวทั้งจากผู้ถือหน่วยทรัสต์รายใหญ่และรายย่อยทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติรวมแล้วมีจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือเกินกว่า 10% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.2563 ที่ผ่านมา โดยผู้จัดการกองทรัสต์มีหน้าที่ต้องจัดการประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อเรีนกประชุมวิสามัญผู้ถือหน่วยทรัสต์ เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้ถือหน่วย

ปัจจุบัน SHH มีสินทรัพย์ในต่างประเทศรวม 3 แห่ง ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3-5 ดาวในภูมิภาคอาเซียน ภายใต้การบริหารจัดการของกองทรัสต์ฯ ประกอบด้วย โรงแรม Pullman Jakarta Central Park กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย, โรงแรม Capri by Fraser และโรงแรม IBIS Saigon South ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม บริหารจัดการโดยเครือข่ายโรงแรมมืออาชีพ ซึ่งมีคุณภาพเป็นที่รู้จักในระดับสากล

สำหรับสถานการณ์การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันของกองทรัสต์ จากอุตสาหกรรมโรงแรมในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม อยู่ในสภาวะถดถอยอย่างชัดเจน โดยอินโดนีเซียมีจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้นวันละประมาณ 2,000 –3,000 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในอาเซียน ทำให้การระงับเที่ยวบินจากต่างประเทศยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2564 โดยความรุนแรงของสถานการณ์ดังกล่าว ณ.วันที่ 14 กันยายน 2563 กรุงจาร์กาต้าจึงได้มีการประกาศใช้มาตรการ Lock Down อีกครั้ง ซึ่งย่อมส่งผลให้ธุรกิจภายในประเทศเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม สำหรับประเทศเวียดนามนั้น ต้องเผชิญกับการระบาดระลอกที่สองเมื่อไม่นานมานี้ เที่ยวบินจากต่างประเทศจึงยังคงถูกระงับ ผู้มาเยือน
จากต่างชาติจึงยังไม่สามารถเข้าประเทศได้

2.โรงแรมซึ่งกองทรัสต์เข้าลงทุน อยู่ในสภาวะขาดทุนจากการดำเนินงาน ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายค้างชำระและหนี้สินสะสม โดยโรงแรมต้องดำเนินธุรกิจภายใต้เงินทุนหมุนเวียนที่จำกัด และในไม่ช้าอาจไม่เพียงพอต่อการประคองธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ซึ่งผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้รายได้ค่าเช่าสำหรับปีปัจจุบันลดลงและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดในงวดปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งจะถึงกำหนดชำระในวันที่ 30 ก.ย.2563

3. กองทรัสต์ SHREIT มีเหตุผิดเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้หลายประการ กองทรัสต์จึงมีความเสี่ยงจากการถูกดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามสัญญากู้โดยคู่สัญญา ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ให้กู้หลัก อย่างไรก็ตามฝ่ายบริหารของกองทรัสต์ฯ ได้ขอผ่อนปรนเหตุผิดเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ยืมบางประการกับเจ้าหนี้สถาบันการเงินแล้ว ซึ่งฝ่ายบริหารยังไม่ทราบผลการพิจารณาของสถาบันการเงินในขณะนี้ กองทรัสต์จึงยังคงมีความเสี่ยงจากการถูกดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามสัญญากู้

4. จากงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2563 และข้อมูลที่ได้เปิดเผยในช่วงเวลาต่อมา แสดงถึงความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2563 ทั้งยังมองไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัว ส่งผลให้งดการจ่ายเงินปันผลยังต้องดำเนินต่อไปโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้

คณะกรรมการบริษัทฯ ประชุมเมื่อวันที 24 ก.ย.2563 จึงมีมติอนุมัติให้จำหน่ายหุ้น 100% ของบริษัท Strategic Hospitality Holding Limited (SHH) และบริษัท Strategic Hospitality Holding Limited 2 (SHH2) ที่กองทรัสต์ SHREIT ถือหุ้น 100% ตามคำเสนอซื้อจาก LT Rubicon Limited ในราคา 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,302.88 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาคงที่บนสมมติฐานที่ SHH และ SHH2 ปลอดจากภาะหนี้สิน ณ วันที่ทำธุรกรรม โดยไม่ต้องปรับปรุงรายการเงินทุนหมุนเวียนสุทธิใดๆ โดยจะเสนอผู้ถือหน่วยลงทุนพิจารณาอนุมัติในการประชุมวิสามัญผู้ถือหน่วย วันที่ 2 พ.ย.63 และมอบอำนาจใหเคณะกรรมการร่วมเจรจาและทำข้อตกลง

กองทรัสต์ SHREIT จะได้รับชำระเงิน 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากผู้ทำคำเสนอซื้อและจะนำไปชำระหนี้สินและค่าใช้จ่ายคงค้างต่างๆ ของ SHREIT, SHH และ SHH2 รวมถึงหนี้สถาบันการเงิน,ค่าธรรมเนียมค้างชำระต่อผู้ให้บริการ, บริษัทฯ และทรัสตี ตลอดจนสำรองไว้เพื่อการชำระบัญชีของ SHREIT ซึ่งหลังจากชำระหนี้สินและรายจ่ายค้างชำระดังกล่าวแล้ว ประมาณการมูลค่าต่อหน่วยลงทุนสุทธิที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับ ณ. วันที่ทำธุรกรรมคือ 4.4331 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมูลค่าต่อหน่วยสุทธินี้มีมูลค่าสูงกว่าราคาตลาดของหน่วยทรัสต์ เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักย้อนหลัง 30 วัน ประมาณ 25% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับราคาเสนอซื้อครั้งแรก โดยไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และค่าใช้จ่ายค้างชำระที่เพิ่มขึ้นหลังจากการประชุมวิสามัญผู้ถือหน่วยลงทุนครั้งที่ผ่านมามูลค่าต่อหน่วยลงทุนสุทธิที่ผู้ถือหน่วยจะได้รับ จะค่อนข้างใกล้เคียงกับการเสนอซื้อครั้งนี้

ทั้งนี้ การจำหน่ายไปซึ่งหุ้นของ SHH และ SHH2 ให้แก่ผู้ทำคำเสนอซื้อถือเป็นรายการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของกองทรัสต์ และผู้ทำคำเสนอซื้อนั้นเป็นบริษัทที่มีนายเจมส์ ลิม ซึ่งเป็ นหนึ่งในกรรมการบริหารของบริษัทฯ ที่เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ เป็นผู้ถือหุ้นในชั้นสูงสุด Ultimate Ownership ทำให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นที่กองทรัสต์ SHREIT ถืออยู่ใน SHH และ SHH2 กับผู้ทำคำเสนอซื้อเป็นการทำธุรกรรมระหว่างกองทรัสต์กับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับผู้จัดการกองทรัสต์

ในการนี้ บริษัทฯ ได้จัดให้มีบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินอิสระ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานก.ล.ต. เพื่อประเมินมูลค่าทรัพย์สินของทั้ง 3 โรงแรมที่กองทรัสต์ลงทุน ซึ่งผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินอิสระได้ทำการประเมินเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2562 (ก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19) โดยมีราคาประเมิน 4,171,897,915 บาท หรือ 132,626,460 เหรียญสหรัฐฯ
รายละเอียดตามตารางดังต่อไปนี

หลังจากจำหน่ายสินทรัพย์ของกองทรัสต์และขายหุ้นให้ผู้ทำคำเสนอซื้อตามเงื่อนไข ผู้จัดการกองทรัสต์จะเลิกกองและขอเพิกถอนหน่วยทรัสต์ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ LTB ได้เสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท SHH และ SHH2 ซึ่งมีการลงทุนในโรงแรม 3 แห่ง่ต่างประเทศ แต่ผู้ถือหน่วยไม่อนุมัติ

อ่านข่าว

SHREIT ฟลอร์ ผู้ถือหน่วยไม่อนุมัติขายหุ้น SHH-SHH2 โหวตหนุน 72.84% ต่ำกว่าเกณฑ์