HoonSmart.com>>นักวิเคราะห์ผิดหวังผลงานโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หลังพบผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ กลับมาปรับลดประมาณการกำไรปี 63-64 และลดราคาเป้าหมาย บล.หยวนต้าตีมูลค่า 24.30 บาท โนมูระ พัฒนสิน ปรับลดแรงจาก 24.90 เหลือ 22 บาท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 22 บาท แนะขายออกไปซื้อ CHG แทน เป้าหมาย 2.90 บาท เคจีไอให้ถือ BH ลดราคาเหลือ 120 บาทจากเดิม 123 บาท นักลงทุนพร้อมใจขาย BDMS กดราคาเหลือ 20 บาท เช้าวันนี้
หุ้นโรงพยาบาลประกาศผลงานไตรมาส 2/2563 ออกมาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นไปตามคาด ยกเว้น โรงพยาบาลขนาดใหญ่บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ(BDMS) มีกำไรสุทธิเพียง 457 ล้านบาท ทรุดตัวลงกว่า 1,408 ล้านบาทหรือ 75.49% จากที่มีกำไร 1,865 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน และครึ่งปีมีกำไรสุทธิ 3,025 ล้านบาท ลดลง 7,279 ล้านบาทหรือประมาณ 71% เทียบกับกำไรสุทธิ 10,304 ล้านบาท และบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) มีกำไรสุทธิเพียง 44 ล้านบาท หายไปกว่า 93% ส่วน บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) ดีเกินคาด กำไรสุทธิ 154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32 ล้านบาทหรือ 26%และรวมครึ่งปีมีกำไรสุทธิ 341 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
ล่าสุดผู้บริหารบริษัท BDMS พบนักวิเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่การปรับลดประมาณการกำไรในปี 2563-2564 และลดราคาเป้าหมาย กดดันให้ราคาหุ้นในตลาดครึ่งวันที่ 19 ส.ค. ปรับตัวลง 2.91 % หรือ 0.60 บาท ปิดที่ 20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายจำนวน 69ล้านบาท หุ้น BH ปิดที่ 115.50 บาท -0.50บาทหรือ -0.43% จากการขึ้น XD ให้สิทธิรับเงินปันผลหุ้นละ 1.15 บาท ส่วน CHG ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง รวม 4 วัน ซื้อขายที่ราคา 2.68 บาท+0.04 บาทหรือ 1.52%
BDMS มีกำไรสุทธิเพียง 458 ล้านบาท ลดลงถึง 82%จากไตรมาสแรก ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สาเหตุหลักมาจากรายได้รวมลดลงเหลือ 13,757 ล้านบาท และรับรู้ส่วนขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 37 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจาก ผลประกอบการที่อ่อนแอของ BH รวมถึงการใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นใน BH ลดลงจาก 24.99% เป็น 22.94% ของทุนที่เรียกชำระแล้ว
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) แนะนำ “เก็งกำไร”หุ้น BDMS ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 24.30 บาท/หุ้น หลัง ผ่านช่วงเลวร้ายสุดไปแล้ว บริษัทเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 ด้วยสัดส่วนรายได้ลูกค้าต่างประเทศกว่า 30% ปีนี้ประมาณการกำไรปกติที่ 7,315 ล้านบาท ลดลง 27%จากปีที่ผ่านมา
บริษัทให้ข้อมูลแนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก แม้ว่าคนไข้ต่างชาติยังไม่กลับมา โดยจำนวนผู้ป่วยที่มาใช้บริการในเดือน ก.ค ใกล้เคียงกับเดือนมิ.ย ที่ติดลบราว 20% ขณะที่แนวโน้มในเดือนส.ค.เริ่มดีขึ้น หลังคลายล็อกดาวน์คนไทยเริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ทำให้ไตรมาส 3 ดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2 และยังคงลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน
นอกจากนี้ทาง BDMS รับประโยชน์จากการรับเป็นสถานที่กักตัว Alternative State Quarantine ผ่าน โรงพยาบาลในเครือของบริษัท 30 โรงพยาบาล และ 1 รีสอร์ท (Movenpick) ซึ่งรับต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้าไทย โดยเน้นที่ลูกค้า จากกัมพูชา พม่า จีน ซึ่งตอนนี้บริษัทรับ เต็มโควต้า ขณะที่ปี นี้ยังคงเน้นการฟื้นตัวของลุกต้าในประเทศ ส่วนต่างชาติคาดว่าจะฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ปี 2563 มีการปรับลดเป้ารายได้จากการให้บริการ จากเดิมคาดติดลบ 12-15% เป็น ติดลบ 20% ขณะที่คาดอัตรา EBITDA margin ที่ 20-21% โดยบริษัทยังคงนโยบายควบคุมต้นทุนอย่างเข็มงวด เช่น zero ot , leave without pay ด้านงบลงทุนมีการปรับลดลงจากเดิม 40%
เป้าหมายระยะยาว ตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 2 เท่าของ GDP และจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากลูกค้าประกันจากครึ่งปีแรกที่ 32% เป็น 40%ในอีก 3 ปีข้างหน้า ขยายฐานลูกค้าประกันจากจีน เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ Ping An Health (ผิงอัน เฮลธ์) บริษัทประกันสุขภาพอันดับหนึ่งของจีน ในเครือผิงอัน ขณะที่บริษัทอยู่ในขั้นของการศึกษา Tele medicine ซึ่งเติบโตดีในต่างประเทศ แต่ว่าต้องใช้ระยะเวลา
บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะซื้อเก็งกำไรหุ้น BDMS ลดราคาเป้าหมายจาก 24.90 บาทเหลือ 22 บาท มีมุมมองลบต่อการปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ลง 20 % โดยปรับกำไรปี 2563-2565 ลง -46%/ -13%/ -10% โดยปีนี้คาดกำไร 4,430 ล้านบาท -71% จากปีก่อน ส่วนปี 2564-2565 คาดกำไร 8,192 ล้านบาท + 85% และกำไร 9,363 ล้านบาท +13% ตามลำดับ รวมทั้งประเมินมูลค่าใหม่ 22 บาท (เดิม 24.90 บาท) ระยะสั้นมองว่าหุ้น BDMS ยังเหวี่ยงตัวตามการฟื้นตัวของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ และความสามารถในการลดค่าใช้จ่าย
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้ราคาเป้าหมาย 22 บาท แนะนำ “SWITCH ” ไปซื้อ CHG แทน เป้าหมาย 2.90 บาท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติต่ำเพียง 3-4%
“แม้เชื่อว่ากำไรของ BDMS ได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้แต่ upside จำกัด และเชื่อว่า ต้องใช้เวลาเกิน 1 ปี กำไรถึงกลับมาสู่สภาพปกติ”
BDMS หั่นรายได้เป้าปีนี้เพิ่มเป็นลดลงราว 20% จากผลกระทบ โควิด-19 ทำให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 และ 2564 ราว 29% และ 18% ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิปี 2563 ใหม่ อยู่ที่ 6 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 61.2% ขณะไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นคราวเดียวในปีก่อนหน้า กำไรปกติปี 2563 คาดจะลดลง 39.7% ก่อนจะฟื้นตัวราว 38% ในปี 2564
นอกจากนี้บริษัทยังมีปัจจัยเสี่ยงจาก BDMS Wellness Center เป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเปิดเต็มรูปแบบ โดยมี โรงแรม Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok เป็นตัวหนุนการเติบโตระยะยาว คาดจะมีผลขาดทุนในช่วง 2-3 ปีแรก นอกจากนี้การปิดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน BDMS ค่อนข้างมาก
ส่วน CHG บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยืนยัน “ซื้อ” เพราะไตรมาส 2 กำไรสุทธิงดีกว่าคาด ทำได้ 154.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% แม้รายได้กิจการโรงพยาบาลลดลง 3% ซึ่งมาจากรายได้ผู้ป่วยทั่วไปลดลง 15% แต่ชดเชยได้บางส่วนจากรายได้ประกันสังคมเพิ่มขึ้น 17% และรายได้โครงการภาครัฐอื่นเพิ่มขึ้น 21%
ทั้งนี้ บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเข้มข้น ทำให้ต้นทุน ต้นทุนลดลง 6% และค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
” CHG มีกำไรครึ่งปีโต 13% และ คิดเป็น 43.3% ของประมาณการทั้งปี ปัจจุบันการเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลกลับมาสู่สถานการณ์ปกติ เชื่อว่าโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 และโรงพยาบาลรวมแทพย์ ฉะเชิงเทรา จะเริ่มสร้างกำไรในครึ่งปีหลัง จึงยังคงประมาณการ กำไรปี 2563 จะเติบโตจากปีก่อนหน้า 11.8% และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 12% ในปีถัดไป บริษัทจะขึ้น XD เพื่อจ่ายเงินปันผล 0.02 บาท/หุ้น ในวันที่ 26 ส.ค. นี้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 0.8%”บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ระบุ
บล. เคจีไอ(ประเทศไทย) แนะนำ “ถือ” BH ปรับลดราคาเป้าหมายจาก 123 บาทเป็น 120 บาท/หุ้น กำไรสุทธิในไตรมาส 2 อ่อนแอเป็นเพราะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด-19 โดยรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ที่ 2,420 ล้านบาท -43.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ -40.8% จากไตรมาสแรก ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 32.2% จาก 41.4% ในไตรมาสที่ 2 และ 43.8% ในไตรมาสที่ 1 ในทางกลับกัน สัดส่วน SG&A/รายได้อยู่ที่ 32.8% เพิ่มขึ้น
เราปรับสมมติฐานมาร์จิ้นลงกว่าเดิม ปี 2563-2564 ลดลงเหลือ 40.0% และ 42.0% (จากเดิมที่ 42.0% และ 43.0%) ตามลำดับ เราคิดว่า BH จะถูกกดดันจาก ผู้ป่วยต่างชาติที่บินมารักษาตัวในประเทศไทยลดลง รวมทั้งมีการจัดแคมเปญเพื่อดึงผู้ป่วยชาวไทย และต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยให้มาใช้บริการรักษาพยาบาลมากขึ้น แต่จะทำให้มาร์จิ้นลดลง ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลดลง 11.0% เหลือ 1,760 ล้านบาท -53.0% จากปีก่อน และปี 2564 ลดลง 4.9% เหลือ 2,220 ล้านบาท +26.0% ยังคงคำแนะนำถือ BH และให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 120 บาท แต่เชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอลงในระยะยาวไปค่อนข้างมากแล้ว