HoonSmart.com>> กสิกรฯ ไพรเวทแบงก์ มองโควิด 19 หนุนธุรกิจเมกะเทรนด์ได้ประโยชน์ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในอนาคต แนะกองทุน เค โกลบอล ไฮ อิมแพ็ค ธีมาติก หุ้นทุน หรือ K-HIT บริหารโดย Allianz Global Investors ผ่านกองทุนหลัก เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำที่มีแนวโน้มเติบโตไปกับเมกะเทรนด์ เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว ที่พร้อมลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
KBank Private Banking ร่วมกับพันธมิตร Allianz Global Investors จัด INVESTING IN CORONA-TIMES: ‘STAY AT HOME’ & ‘SAVE THE WORLD’ โดยมองว่า ในช่วงเวลาที่โลกกำลังประสบกับปัญหาวิกฤติทางด้านสาธารณสุข นอกจากจะเกิดความต้องการทางการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้นแล้ว คนยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บ้านเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เพราะการอยู่บ้านคือ Physical Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางกายภาพที่ดีที่สุด การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทั้งสองอย่างนี้ เป็นตัวการสำคัญที่เร่งความตระหนักรู้และพิสูจน์ถึงอิทธิพลของ Megatrends หรือกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในอนาคต
น.ส.ศิริพร สุวรรณการ Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (KBNK) กล่าวว่า KBank Private Banking แนะนำกองทุนเปิดเค โกลบอล ไฮ อิมแพ็ค ธีมาติก หุ้นทุน (K-HIT) ที่บริหารโดย Allianz Global Investors ผ่านกองทุนหลักคือ Allianz Thematica เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำที่มีแนวโน้มเติบโตไปกับ Megatrends เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว ที่พร้อมลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
กองทุนนี้มีความโดดเด่น ได้แก่ 1.กระจายลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับ Megatrends ทำให้ลดความผันผัวนจากวัฏจักรเศรษฐกิจ ธุรกิจ และตลาดการเงิน 2.มีการปรับเปลี่ยนธีม โดยเพิ่มธีมใหม่ ลดหรือยกเลิกธีมที่มีศักยภาพน้อยลง และ 3.มีผลงานที่โดดเด่น สะท้อนว่า โรคโควิด 19 เร่งให้เห็นความสำคัญของ Megatrends อย่างชัดเจน ซึ่งการลงทุนในธีมที่ดี จะช่วยลดผลกระทบจากการปรับตัวของตลาดในขาลงระยะสั้นได้ ขณะที่ยังคงรักษาโอกาสให้เงินลงทุนเติบโตต่อเนื่องไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต
“KBank Private Banking เชื่อว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส และการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ก็ทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าธุรกิจใน Megatrends ได้ประโยชน์ และยังคงศักยภาพเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ในอนาคต”น.ส.ศิริพร กล่าว
ด้านมร.โฮเกอร์ เวนเนอร์ Director, Head of Product Specialists Equity Europe, Allianz Global Investors เปิดเผยว่า 4 Megatrends ที่สำคัญ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและสังคม (Demographic and Social Change) เช่น การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ ครอบครัวเดี่ยว รายได้ของคนชั้นกลาง ตลอดจนแนวความคิดต่อการใช้ชีวิต ที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมรวมทั้งสินค้าและบริการที่ต้องการการพัฒนาของสังคมเมือง (Urbanization) เช่น การเดินทางเข้ามาใช้ชีวิตและทำงานในเมืองใหญ่ ทำให้ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น การขนส่งสาธารณะและที่พักอาศัยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกในชีวิตประจำวัน
อย่างการใช้ Social media การช้อปปิ้งออนไลน์ ไปจนถึงการใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิต การมีอยู่อย่างจำกัดของทรัพยากร (Resource Scarcity) เช่น การนำพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อชดเชยการเผาไหม้ถ่านหินซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดและทำลายสิ่งแวดล้อม
“เมื่อผู้คนหันมากักตัวเองอยู่ในบ้านมากขึ้น (Stay at Home) ทำให้เทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน (Digital Life) ตลอดจน นวัตกรรมทางการแพทย์ เช่น การปรึกษาปัญหาสุขภาพหรือหาหมอออนไลน์ (Health Tech) รวมทั้งการใช้เวลาไปกับสัตว์เลี้ยง (Pet Economy) มีมากขึ้น อีกสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ออนไลน์ที่ (Education) ขาดไม่ได้ในเวลานี้และจะทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นในอนาคต”มร.โฮเกอร์ เวนเนอร์ กล่าว
นอกจากนี้การที่ผู้คนไม่เดินทางและกิจกรรมการผลิตบางส่วนหยุดชะงัก เป็นเวลาให้สิ่งแวดล้อมได้ฟื้นฟูตัวเอง จะเห็นได้ว่าวิกฤติในครั้งนี้ กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจการรักษาสิ่งแวดล้อมและปกป้องโลกมากขึ้น (Save the World) เพื่อลดความเสี่ยงของวิกฤติจากธรรมชาติ โลกจะน่าอยู่และปลอดภัยยิ่งขึ้น หากมนุษย์หยุดกิจกรรมที่คุกคามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจนเกินสมดุล Megatrends ในส่วนนี้คือ การพัฒนาพลังงานแห่งอนาคต (Next Generation Energy) และการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำและพื้นดิน (Clean Water and Land)