ดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 600 จุด กลุ่มเฮลท์แคร์หนุน

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 600 จุด ได้แรงหนุนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ รับสหรัฐฯ จะเริ่มทดลองฉีดวัคซีนต้านไวรัส Covid-19 ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 30มีนาคม 2563 ที่ 22,327.48 จุด พุ่งขึ้น 690.70 จุด หรือ 3.19% จากการปรับขึ้นของกลุ่มเฮลท์แคร์ที่นำโดยจอห์นสันแอนด์จอนห์นสัน และยูไนเต็ดเฮล์ท ขณะที่นักลงทุนมองว่ารัฐได้ดำเนินการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งมีมาตรการพยุงเศรษฐกิจที่ล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั่วประเทศ จากผลกระทบจากการระบาดของไวรัส

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,626.65 จุด เพิ่มขึ้น 85.18 จุด,+3.35%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,774.15 จุด เพิ่มขึ้น 271.77 จุด,+3.62%

นักลงทุนเกาะติดสถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯและยุโรปตะวันตก ขณะที่เมื่อเย็นวันที่ 29 มีนาคม 2563 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ได้ขยายมาตรการระยะห่างทางสังคมออกไปถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ จากก่อนหน้านี้ได้แสดงออกถึงความต้องการที่จะยกเลิกข้อห้ามต่างในวันอีสเตอร์ 12 เมษายน โดยกล่าววว่า จำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะแตะระดับสูงสุดในสองสัปดาห์และน่าจะกลับสู่ภาวะปกติในเดือนมิถุนายน

นักวิเคราะห์มองว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขยายระยะเวลาการใช้มาตรการระยะห่างสังคมออกไป มีส่วนช่วยจิตวิทยานักลงทุน เพราะแสดงให้ว่าประธานาธิบดีจริงจังกับวิกฤติและพร้อมที่จะฟังนักวิทยาศาสตร์ในการรับมือกับการระบาด อีกทั้งนักลงทุนมองว่ารัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจออกมาอีก

นอกจากนี้จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีลดลงในสองสัปดาห์ ขณะที่องค์การอนามัยโลกคาดว่า สถานการณ์ในอิตาลี สเปน จะเริ่มคลี่คลายและทรงตัวจากมาตรการล็อกดาวน์ ก็ช่วยหนุนตลาดเพราะนักลงทุนให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่แตะระดับสูงสุด เนื่องจากสามารถคาดเดาสถานการณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งได้เห็นตัวอย่างจากตลาดหุ้นจีนและ ญี่ปุ่น และตลาดกุ้นเอเชียอื่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อผ่านช่วงพีคไปแล้ว

ผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีจำนวน 724,945 รายมีผู้เสียชีวิต 34,041 ราย ส่วนในสหรัฐฯผู้ติดเชื้อมีจำนวน 143,055 รายมีผู้เสียชีวิต 2,513 ราย ขณะที่ดร.แอนโทนี ฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อสหรัฐฯคาดว่าผู้เสียชีวิตในสหรัฐอาจจะมีจำนวน 100,000 – 200,000 ราย

เจพี มอร์แกน เชสแอนด์โค คาดการณ์จีดีพีสหรัฐไตรมาสแรกจะหดตัว 10% และหดตัว 25% ในไตรมาสสอง

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นและหนุนตลาด จากความคืบหน้าในการคิดค้นและพัฒนาวัคซีน และชุดทดสอบของจอห์นสันแอนด์จอนห์นสัน และแอบบอท แลบบอราตอรีส์ ซึ่งทั้งสองบริษัทปรับตัวขึ้น 8% และ 6.41% ตามลำดับ

หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ บริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ เพิ่มขึ้น 3.64% หุ้นรีเจนเนอรอน ฟาร์มาซูติคอลส์เพิ่มขึ้น 5.22% ขณะที่ Depositary Receipts หรือตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ ของบริษัทซาโนฟี่ เพิ่มขึ้น 5.30% หลังรายงานว่าผู้ป่วยรายแรกที่เข้ารับการทดลองการใช้ยา Kevazara สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงในโรงพยาบาลได้รับการรักษาแล้ว

หุ้นเชฟรอนเพิ่มขึ้น 4.60% แต่หุ้นโบอิ้งลดลง 6%

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก แม้กลุ่มธนาคารจะร่วงลง 3.2% หลังจากประกาศไม่จ่ายเงินปันผลและงดการซื้อหุ้นคืน หลังจากประธานธนาคารกลางสหภาพยุโรปแนะนำ ควรเก็บเงินสดไว้ใช้ในการพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่หุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์และแลกุ่มเฮลท์แคร์ต่างเพิ่มขึ้นมากกว่า 3%

ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยูโรโซนเดือนกุมภาพันธ์ลดลงจาก 103.4 มาที่ 94.5 เป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่มีการพัฒนาดัชนีปี 1985

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,563.74 จุด เพิ่มขึ้น 53.41 จุด, +0.97%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 314.88 จุด เพิ่มขึ้น 3.98 จุด, +1.28%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,378.51 จุด เพิ่มขึ้น 27.03 จุด, +0.62%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,815.97 จุด เพิ่มขึ้น 183.45 จุด, +1.90

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 1.42 ดอลลาร์ หรือ 6.6% ปิดที่ 20.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 2.17 ดอลลาร์ หรือ 8.7% ปิดที่ 22.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อ่านข่าว

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ดิ่งกว่า 9% WTI จ่อหลุด 20 เหรียญฯ