IRPC ปิดจุดอ่อน-เพิ่มกำไร ปรับกลยุทธ์ธุรกิจปี 63

HoomSmart.com>>ไออาร์พีซี ปรับกลยุทธ์ปี 2563 รับความท้าทายตลาดโลกผันผวน ขยายตลาดในประเทศ รุกผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม บริหารความเสี่ยงป้องกันความผันผวนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ลดการพึ่งพาน้ำมันดิบตะวันออกกลาง พร้อมรับความต้องการใช้ปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น  คาดราคาน้ำมันดิบดูไบ 55 – 65 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนไตรมาส 4/62 ยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า พร้อมจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น 0.10 บาท/หุ้น   13 โบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 3.55  บาท 

นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีครบวงจร สาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งท่าเรือ คลังน้ำมัน และโรงไฟฟ้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2563 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร โดยการขยายตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น (Domestic First) เจาะตลาดสินค้ามูลค่าเพิ่มร่วมกับพันธมิตร (Strategic Partners) และปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานผลิต (Reliability Improvement) ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน (Hedging Management) รวมทั้งลดการพึ่งพาการใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง เพื่อบริหารความเสี่ยงแหล่งวัตถุดิบ

บริษัทฯ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันของตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 102.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีที่แล้ว เนื่องจากโรงกลั่นกลับมาเดินกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ เพื่อผลิตน้ำมันตามมาตรฐานน้ำมันเดินเรือใหม่ (IMO 2020) รวมทั้งสถานการณ์สงครามการค้าเริ่มผ่อนคลาย คาดราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบอยู่ในช่วง 55 – 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนตลาดปิโตรเคมี คาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น ธนาคารโลกปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จาก 2.4% ในปี 2562 และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ความต้องการพลาสติกในกลุ่มสินค้าเวชภัณฑ์ และสินค้าบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Delivery Products) สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการลดการบริโภคพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่ที่มีอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยการวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมถึงการหาพันธมิตรทางการผลิต และการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทุ่นลอยน้ำสำหรับโซลาร์เซลล์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาแบตเตอรี่

นายนพดล กล่าวว่า ปี 2563 สถานการณ์ตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น สงครามการค้าผ่อนคลายลง ส่วนต่างราคาน้ำมันกำมะถันต่ำ (LSFO) ที่ดีขึ้น และหากแนวโน้มตลาดเป็นไปตามคาด บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่ โดยเพิ่มขึ้นจาก 2 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปี 2562 เป็น 2.15 แสนบาร์เรลต่อวันได้

นอกจากนี้ IRPC ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด และ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด เพื่อเพิ่มช่องทางในการขยายตลาดโดยพัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ จากโรงกลั่นน้ำมัน IRPC ไปสู่ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อของ Thappline เพื่อร่วมกันสร้างช่องทางขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมัน High Speed Diesel ตามมาตรฐาน Euro V และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Jet A1)

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2562 เริ่มดีขึ้น โดยมีขาดทุนสุทธิ 513 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,321 ล้านบาท เป็นผลมาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคา (Hedging) แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อเรื่อยมาตั้งแต่กลางปี 2561 และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ทำให้ค่าใช้จ่ายการขนส่งสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณการผลิตใหม่จากจีนและมาเลเซีย ทำให้ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ลดลง เพื่อลดผลกระทบ บริษัทฯ ได้มองหาตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศ AEC ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้าและสิ่งแวดล้อม  ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด รวมถึงรุกธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่มีความต้องการสูงมากในยุโรป

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2562 ในอัตรา 0.10 บาท ต่อหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 2,043 ล้านบาท จากกำไรสะสมส่วนที่ยังไม่ได้จัดสรร โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 เมษายน 2563 ต่อไป