บลจ.ทิสโก้สบช่องหุ้นเทคโนโลยีจีนย่อตัว IPO กองใหม่ 11-18 ก.พ. นี้

HoonSmart.com>> บลจ.ทิสโก้ มองโคโรนากระทบตลาดระยะสั้น เปิดขายกองทุน “ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้” IPO 11-18 ก.พ.นี้ลงทุนระยะยาวตามเมกะเทรนด์ของโลก ชี้กำไรบริษัทเทคโนโลยีจีนมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากความต้องการใช้งานของประชากรจีนและทั่วโลก

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีของจีนเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อวงการเทคโนโลยีระดับโลก นอกจากจะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมของจีนแล้ว ยังสร้างการเติบโตผ่านการขยายตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย และทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดนิ่ง และความต้องการใช้งานของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นตาม “เมกะเทรนด์” ของโลก ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในช่วงที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนย่อตัวจากปัจจัยเชิงลบระยะสั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปี 2563 กำไรต่อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีจีนจะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยสามทหารเสือของบริษัทเทคโนโลยีจีน หรือกลุ่ม “BAT” ประกอบด้วย Baidu ผู้ให้บริการซอฟแวร์ และ เสิร์ชเอนจินรายใหญ่จะมีอัตรากำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน, Alibaba ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อสินค้าออนไลน์จะมีอัตรากำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 158% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ Tencent เจ้าของแอปพลิเคชัน Wechat ที่เป็นเจ้าตลาดในธุรกิจ Social Network และเกมส์ออนไลน์จะมีอัตรากำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่น่าสนใจ

ปัจจุบันทั้ง 3 บริษัทมีราคาซื้อขายอยู่ในระดับราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งการเติบโตของอัตรากำไรต่อหุ้นของทั้งสามบริษัทยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีจีนที่อยู่ในดัชนี MSCI China Information Technology (MXCNOIT) โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของกำไรของหุ้นทั้งดัชนี MXCNOIT ในปี 2563 จะเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน และปี 2564 จะเพิ่มขึ้นอีก 21% ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นในดัชนี MXCNOIT ก็ซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ที่มา: Bloomberg)

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนให้กับลูกค้า บลจ.ทิสโก้จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้ (TCHTECH) ความเสี่ยงระดับ 7 (ความเสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ผ่านกองทุนอีทีเอฟ Invesco China Technology (กองทุนหลัก) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งแรกวันที่ 11 – 18 ก.พ.2563

“ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงจากหลากปัจจัย โดยเฉพาะล่าสุดจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในจีน บลจ.ทิสโก้มองว่าเป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบเพียงระยะสั้นเหมือนเช่นการแพร่ระบาดของโรคในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา จึงเป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าสะสมเพื่อลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตดีในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์อย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีน เพราะธุรกิจมีโอกาสเติบโตสูงจากความต้องการใช้งานของผู้บริโภคทั้งในจีน และทั่วโลก จากการศึกษาข้อมูลพบว่าในปี 2562 คนจีนใช้อินเตอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 6 ชั่วโมง ขณะที่ในปี 2561 มีผลการศึกษาพบว่าประชากรจีน 59.6% ของประชากรทั้งหมดเข้าถึงอินเตอร์เน็ตซึ่งน้อยกว่าประเทศสหรัฐฯ ที่ประชากรสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากถึง 89% ของประชากรทั้งหมด (ที่มา: QuestMobile; McKinsey China Digital Consumer Trends 2019) จึงมองว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตมีโอกาสการเติบโตอีกมาก” นายสาห์รัช กล่าว

นอกจากนี้ การเข้ามาของเทคโนโลยี 5G ในประเทศจีนจะมีส่วนสำคัญให้บริษัทเทคโนโลยีในจีนขยายธุรกิจใหม่ๆ ได้มากขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2563 ในประเทศจีนจะมีเสาสัญญาณ 5G ประมาณ 8 แสนจุด ครอบคลุม 290 เมือง จากทั้งหมด 350 เมือง ซึ่งทำให้เกิดสินค้าและบริการใหม่จากบริษัทเทคโนโลยีจีนมากขึ้น เช่น การควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน การจำลองสินค้าและสภาพแวดล้อมเสมือนจริงในแอปพลิเคชันซื้อสินค้าออนไลน์ รถยนต์ไร้คนขับ รวมไปถึงนวัตกรรมสำหรับการควบคุมสิ่งต่างๆ ในระยะไกลแบบเรียลไทม์

บลจ.ทิสโก้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่มียอดลงทุนในกองทุน TCHTECH ระหว่างวันที่ 11-18 ก.พ.2563 ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป รับหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Mi Robot Vacuum มูลค่า 12,990 บาท และเมื่อลงทุนผ่าน TISCO My Funds ยอดเงินลงทุนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น มูลค่า 100 บาท (1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์)

ทั้งนี้ กองทุน TCHTECH ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน