HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงไทยพบนักวิเคราะห์ ให้เป้าหมายทางการเงินปี 63 ค่อนข้างสวย สินเชื่อโต 3-5% NIM ดีขึ้น NPLs ลดลง รอรับรู้พิเศษจาก AQ เตือนจุดเสี่ยงกำไรพลาดเป้า สนองรัฐอุ้ม SME ภัยแล้ง กระตุ้นเศรษฐกิจ บล.ฟินันเซียไซรัส เชียร์ซื้อ เป้าหมาย 21 บาท บล.ดีบีเอสฯ แนะ ถือ มูลค่าเหมาะสม 18.30 บาท บล.ทิสโก้ให้ซื้อ ราคา 18 บาท
บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นธนาคารกรุงไทย(KTB) คงคำแนะนำซื้อ และคงราคาเหมาะสมที่ 21 บาท หลังจากธนาคารประชุมนักวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ให้เป้าหมายทางการเงินในปี 2563 ค่อนไปในโทนบวกกว่าที่คาด โดยเฉพาะแนวโน้มที่ดีขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) ซึ่งมีสัญญาณที่ดีขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ราคาหุ้น KTB ล่าสุด ซื้อขายในส่วนลดของมูลค่าหุ้นทางบัญชี 40% เพราะอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น( ROE) ที่ชะลอตัวลงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นไม่ใช่ผลประกอบการที่แย่ลง คาดว่า KTB จะจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น อัตราผลตอบแทน ราว 5% หรือสูงกว่านี้อีกเล็กน้อย หากพิจารณาจากเงินกองทุนที่อยู่ที่ 18.66% และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นได้อีกจากการตีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มเติม
ผู้บริหารให้เป้าหมายสินเชื่อเติบโต 3-5% จากปี 2562 โดยคาดว่าลูกค้า SME และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่จะเป็นปัจจัยสำคัญ ส่วนเป้าหมาย NIM ทรงตัวถึงปรับขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่อยู่ที่ราว 3.07% (ไม่รวมดอกเบี้ยพิเศษจาก AQ) จากการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยตามมาตรฐานใหม่และต้นทุนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูงครบอายุไปในปีก่อนเห็นผลเต็มปี, รายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิไม่กระทบจากมาตรการ TFRS9 อย่างมีนัยสำคัญ
ด้านคุณภาพหนี้ การตั้งสำรองฯ คาดว่าจะน้อยกว่า 1.2% ของสินเชื่อ และ KTB มีเงินสำรองส่วนเกินฯ จากมาตรฐาน TFRS 9 จำนวนนี้คาดว่าจะเผื่อใช้เป็น management overlay, NPL Ratio คาดทรงตัวที่ราว 4.3% ตามแนวโน้มดีขึ้นจากการคุมคุณภาพหนี้ในปีก่อนผ่านการบริหารจัดการของทุกทีมสินเชื่อและการตัดหนี้ NPL บางส่วนออกไปเพื่อทำให้งบดุลมีคุณภาพขึ้น
คำถามในห้องประชุมส่วนความเสี่ยงด้านการล่าช้าของงบประมาณที่อาจส่งผลต่อการชำระหนี้ของลูกค้าที่เกี่ยวกับภาครัฐ KTB กล่าวว่าไม่ส่งผลต่อคุณภาพหนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัสคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 2.76 หมื่นล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน แม้คาดการณ์สินเชื่อโต 3% แต่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิทรงตัว เนื่องจากปีก่อนมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษจาก AQ ถ้าหากหักออกจะเห็นการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิราว 4.8% ส่วน NIM 3.1% ดีขึ้นจาก 3.07% โดยส่วนใหญ่มาจาก CoF ที่ลดลง สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 14% จากกำไรจากการขายเงินลงทุนที่ลดลง (มาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้กำไรจากการขายตราสารทุนต้องรับรู้ในส่วนทุนแทนงบกำไรขาดทุน) แต่หากไม่นับรายการดังกล่าว คาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโต 2-3% จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่อ่อนตัวลงจากเกณฑ์ใหม่ของธปท. การลดลงของรายได้บางส่วนถูกชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง 8% จากการลดลงของค่าใช้จ่ายพนักงานที่เกิดขึ้นในคราวเดียวในปีก่อน และด้อยค่า NPA ที่ลดลง เราคาดการณ์ Cost to income ratio ที่ 48% และ Credit cost (งบรวม) ที่ 1.2%
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท/หุ้น ราคาปัจจุบันมีสัดส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ปี 2563 เพียง 0.6 เท่า ธนาคารตั้งเป้าดีขึ้นแต่ท้าทาย สินเชื่อที่คาดว่าจะโต 3-5% บล.ดีบีเอสฯประมาณการให้สินเชื่อปีนี้โต 4% คาด NIM ขยับขึ้น จากต้นทุนการเงินลดลง และเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีตาม TFRS9 แต่มี Downside risk จากมาตรการช่วยเหลือ SME ของรัฐบาลที่ถูกกระทบจากไวรัสโคโรนาและภัยแล้ง
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนก้อนใหญ่ในปี 2562 ตั้งเป้าสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 40% ปลายๆ บล.ดีบีเอสฯใส่ในประมาณการไว้ที่ 48.3%
แนวโน้มผลการดำเนินงานจากกรณี AQ ซึ่งได้บันทึกรายได้ดอกเบี้ยรับจากสินเชื่อไปแล้ว 3,900 ล้านบาทในไตรมาส1/2562 และเหลือที่ยังไม่บันทึกอีก 5,000 ล้านบาทซึ่งอาจจะบันทึกในปี 2563
บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ให้เป้าหมาย 18 บาท/หุ้น มองว่าปี 2563 เป็นปีที่น่าสนใจ มีหลายเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น ข้อสรุปคดีของ AQ, การลงทุนในระบบไอที 1.4 – 1.5 หมื่นล้านบาท (ในช่วง 3 ปี) รวมถึงการสนองนโยบายของภาครัฐฯ เช่น สินเชื่อพิเศษของ SME ที่จะเป็นปัจจัยที่กระทบผลประกอบการในปีนี้
” เรามีการปรับประมาณการสินเชื่อลดลง 2% เหลือ 3% และต้นทุนต่อรายได้ลดลง 1.67% เป็น 49.9% ใกล้เคียงปี 2562 ที่ 49.7% แต่เราปรับ NIM เพิ่มขึ้น 0.13% เป็น 3.21% มีการปรับ Credit Cost เพิ่มขึ้น 1.20% ทำให้ผลประกอบการลดลง 1% แต่มูลค่าที่เหมาะสมคงเดิมที่ 18.00 บาท P/BV 0.7 เท่า”บล.ทิสโก้ระบุ
ด้านราคาหุ้น KTB ปิดที่ 15.90 บาทลดลง 0.20 บาทหรือ 1.24% ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 572 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563