บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าปี 63 โต 6% ขยายช่องทางดิจิตัลเจาะคนรุ่นใหม่

HoonSmart.com>> บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 63 เติบโตด้วยกลยุทธ์ Investor Focus พาลูกค้าฝ่าวิกฤตตลาดโลกผันผวน ออกกองทุนใหม่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย รับสถานการณ์โลกไม่แน่นอน พร้อมแนะนำพอร์ตลงทุนได้ผลตอบแทนดีขึ้น ชูกองทุน K-FIT 4 นโยบายลงทุนตามความเสี่ยง ตั้งเป้าบริหารพอร์ตเสี่ยงต่ำผลตอบแทน 3% ส่วนหุ้นไทยมองกรอบ 1,550-1,700 จุด พร้อมดัน AUM เติบโต 6% จากปี 62 แตะ 1.36 ล้านล้านบาท เร่งขยายช่องทางดิจิตัล เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

วศิน วณิชย์วรนันต์

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2563 บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าการเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มศักยภาพการลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล โดยตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้น 6% ระดับเดียวกับอุตสาหกรรม จากปี 2562 มี AUM อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาท ซึ่งยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ข้อมูลจาก AIMC ณ 30 ธ.ค. 2562

พร้อมกันนี้มีแผนออกกองทุนใหม่ทั้งที่เป็นกองทุนทั่วไป และกองทุนทางเลือกอย่าง Private Equity Fund รวมแล้วกว่า 6 กองทุน ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงแนะนำกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นไทย กองทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนผสม เป็นต้น

นายวศิน กล่าวว่า สำหรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) มองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยเทียบได้จากจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในระบบที่มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า 45 ปี และมีศักยภาพเข้าลงทุนในกองทุน SSF ได้ ซึ่งคาดว่ามีอยู่ประมาณ 500,000 ราย หรือ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 5 –7 หมื่นล้านบาท ซึ่งบลจ.กสิกรไทย ได้เตรียมแนวทางการออกกองทุน SSF เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการด้านใดด้านหนึ่ง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เข้าใจง่าย และสอดรับกับกระแสโลก หรือครอบคลุมครบทั้ง 3 ด้าน ที่สำคัญต้องเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวก และปลอดภัยด้ว

ส่วนการขยายฐานผ่านการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ (Online Opening Account) มองเห็นอัตราการเติบโตของผู้ลงทุนกลุ่มคนรุ่นใหม่จากยอดการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ที่ได้เข้ามาเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ผ่าน App K PLUS และ K-My Funds กว่า 55%

ขณะที่จำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล (Digital-based Users) ปีที่ผ่านมา มีประมาณกว่า 60% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด ซึ่งรวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล เพิ่มขึ้นอีก 16% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด

นายวศิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาบลจ.กสิกรไทย มุ่งพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการออกแบบข้อความคำแนะนำการลงทุนเป็นรายบุคคล กว่า 100 แบบผ่าน Smart Notification เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร และสถานการณ์การลงทุนได้ทันท่วงที

นอกจากนี้ K-My Funds ยังมีพอร์ตแนะนำเพื่อเป็นแนวทางให้ลูกค้าได้กระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยปีที่ผ่านมาพอร์ตแนะนำ FITL และ FITXL มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 7.4% ต่อปี และ 9.9% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งพบว่า มีลูกค้าเพียง 15% เท่านั้นที่ลงทุนด้วยตัวเองและสามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ ในขณะที่อีก 85% ไม่สามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้

“จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังมีสภาพคล่องสูง ในขณะที่มีอัตราการเติบโตต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางความไม่แน่นอน ซึ่งผู้ลงทุนต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายตลาดประกอบกัน ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ลงทุนสามารถใช้พอร์ตแนะนำเป็นแนวทางในการลงทุนได้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าบริหารพอร์ตแนะนำเพื่อสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อยที่สุด” นายวศิน กล่าว

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2563 บลจ.กสิกรไทย มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่ายังคงมีความเสี่ยงจากประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ประเด็น Brexit และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitical Risk) ซึ่งส่งผลกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก ยังคงผ่อนคลายทั้งด้านนโยบายดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อพันธบัตร เพื่อประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ทำให้ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ยังคงเน้นให้นักลงทุนจัดพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยหุ้นต่างประเทศที่ให้น้ำหนักสูงสุด ได้แก่ จีนและเอเชีย ส่วนตลาดพัฒนา ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ก็อาจลดลงไป เนื่องจากปีที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก ส่วนทองคำก็ยังคงต้องมีไว้ในพอร์ตเช่นกัน

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นไทยยังน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 ที่ประมาณ 6 – 8% โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2563 มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,700 จุด สะท้อน Forward PE ที่ 16.7 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประมาณ 3.17%