NCL ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 1.5 พันลบ. ลุยบริการขนส่งครบวงจรหนุนโต

HoonSmart.com>> เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 63 กวาด 1,500 ล้านบาท รับรู้รายได้เต็มปีหลังให้บริการขนส่งครบวงจรทางเรือ ทางอากาศและทางบก เตรียมศึกษาธุรกิจโลจิสติกส์คาดชัดเจนภายในปีนี้ ส่วนสงครามการค้า ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านไม่กระทบการค้า รับกระทบรายได้จากเงินบาทแข็งค่า

กิตติ พัวถาวรสกุล

นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2563 ว่า ขณะนี้บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรทั้งทางบก ทางอากาศและทางเรือ และจะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เป็นปีแรกจากที่ได้ทยอยลงทุนในระยะที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีรายได้ที่ระดับ 1,500 ล้านบาท

ธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือ ยังคงเป็นธุรกิจหลักในการสร้างรายได้ โดยคาดว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตราว 10-20% ผลจากการที่ได้ลงทุนเปิดบริษัทในประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยในปีนี้จะรับรู้รายได้เต็มปีจากที่ได้ลงทุนไปในช่วงก่อนหน้านี้

ธุรกิจให้บริการขนส่งทางอากาศหลังจากได้ร่วมมือกับสายการบินอิสราเอล แอร์ไลน์ เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ เริ่มให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี บริษัทฯเตรียมจะร่วมมือกับเทียนจิน แอร์ไลน์ สายการบินจากประเทศจีน เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2563 นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีผลตอบรับที่ดีเช่นกัน และในอนาคตมีโอกาสที่จะขยายความร่วมมือกับสายการบินอื่น ๆ

ขณะที่ธุรกิจให้บริการขนส่งทางบก เริ่มมีทิศทางที่ดีภายหลังปรับโครงสร้างด้วยการตัดขายเงินลงทุนในบริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยาล้างไตและจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์นั้น ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีคาดว่าในปีนี้จะรักษาอัตราการเติบโตอย่างเนื่องที่ระดับ 10%

พร้อมกันนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาการทำธุรกิจเกี่ยวกับคลังสินค้า เพราะเล็งเห็นว่าจะมีส่วนสนับสนุนการให้บริการลูกค้า โดยคาดว่าภายในปีนี้น่าจะมีความชัดเจน

“การดำเนินธุรกิจบริษัทฯโดยภาพรวม ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า หรือแม้แต่ข้อขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด เพราะพบว่าปริมาณการค้ายังคงเป็นไปโดยปกติ เพียงแต่ยอมรับว่าผลดังกล่าวกระทบให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจาก 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ในช่วง 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ กระทบต่อรายได้เมื่อคิดเป็นเงินบาท แต่ผลดังกล่าวเกิดขึ้นกับทุกบริษัทที่มีรายรับเงินดอลลาร์สหรัฐ”นายกิตติ กล่าว