มองต่างอิหร่าน หวั่นยืดเยื้อหลบภัย หนุนค่าบาทแข็ง ทอง-หุ้นไฟฟ้าขึ้น

HoonSmart.com>>นักวิเคราะห์มองต่างมุมตะวันออกกลาง หวั่นลุกลามทิ้งหุ้นทั่วโลก ไทยดิ่ง 26 จุด ฝีมือสถาบันไทยถล่มยับ 2,603 ล้านบาท ต่างชาติซื้อหุ้น แต่ขายฟิวเจอร์ส 22,548 สัญญา บล.หยวนต้าแนะหลีกเลี่ยงหลายกลุ่ม เว้น PTTEP ด้านเงินบาทแข็งปิด 30.13/14 ราคาทองเพิ่มขึ้น 350 บาท ค่าย YLG คาดมีโอกาสขยับอีก 2,000 บาท ส่วนนักวิเคราะห์ค่าย บล.เคทีบีคาดอิหร่านไม่ยืดเยื้อ  แนะช้อนหุ้นที่ราคาลงมามาก “ไพบูลย์” มองผลกระทบน้อย ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นใน 3 เดือนข้างหน้าลดลงเป็นเดือนที่ 5 กลุ่มแบงก์ไม่น่าสนใจมากที่สุด บล.บัวหลวงเชียร์กลุ่มพาณิชย์ -อาหาร-นิคม-และ4กลุ่มที่กำไรไตรมาส 4 สวย

ตลาดหุ้นเอเชียวันที่ 6 ม.ค.2563 ร่วงตามสหรัฐ ดัชนีนิเกอิลงหนักเฉียด 2% ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จมลึกที่สุด 29.04 จุด ก่อนปิดที่ระดับ 1,568.50 จุด ดิ่งลง 26.47 จุด คิดเป็น 1.66% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 71,208 ล้านบาท แรงขายมาจากสถาบันในประเทศเพียงกลุ่มเดียว 2,603 ล้านบาท รายย่อยมองเห็นโอกาสซื้อ 1,350 ล้านบาท ส่วนต่างชาติซื้อ 923 ล้านบาท แต่ขาย SET 50 Index Futures ถึง 22,548 สัญญา สวนทางนักลงทุนในประเทศซื้อ 31,351 สัญญา

ขณะเดียวกันเงินบาทปิดที่ 30.13/14 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.15/17 บาท/ดอลลาร์ ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นเดียวกับค่าเงินเยน และทองคำ ราคาในประเทศเพิ่มขึ้นบาทละ 350 บาท  และราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น โดยบริษัทไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบ WTI ในสัปดาห์นี้ (6-10 ม.ค.)แกว่งในกรอบ 60 – 65 ดอลลาร์/บาร์เรล

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะเก็งกำไรหุ้น บริษัทปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) รับประโยชน์จากราคาน้ำมันช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าปรับตัวขึ้นตาม สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และกลุ่มโอเปกพลัสลดการผลิตอีก 0.5 ล้านบาร์เรล/วัน ในไตรมาส 1 คาดการณ์เงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 2562 ที่ 3.05 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 2.3% (คาดบริษัทจะประกาศงบไตรมาส 4 พร้อมเงินปันผลวันที่ 30 ม.ค.นี้) พร้อมปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2563 ขึ้นเป็น 142 บาท

ขณะเดียวกันบล.หยวนต้าได้แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อิหร่านและราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น เช่น กลุ่มท่องเที่ยว และโรงพยาบาลที่มีลูกค้าจากตะวันออกกลาง รวมถึงผู้ผลิตที่ใช้ราคามันอ้างอิง เช่น SCC และบริษัทที่ส่งสินค้าออกไปตะวันออกกลางจำนวนมาก อาทิ บริษัท เซ็ปเป้ (SAPPE) ซึ่งนายอเนก ลาภสุขสถิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน SAPPE ชี้แจงว่า จะกระทบต่อยอดขายไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทได้ปรับลดการส่งออกไปตะวันออกกลางลงมาเหลือเพียง 5% จากที่เคยอยู่ที่ประมาณ 10% ปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายมากกว่า 90 ประเทศ หรือสร้างรายได้ประมาณ 605 ส่งผลให้ส่วนภาพรวมในปี 2563 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 10%   และเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง

ทางด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการ บล. เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ (6-10 ม.ค.63) ประเด็นสำคัญที่ที่ทั่วโลกจับตามองการเรื่องความครึงเครียดตะวันออกกลาง หากอิหร่านจะมีการตอบโต้สหรัฐฯ มีแนวโน้มอาจดันราคาน้ำมันดิบ Brent ขึ้นไปแตะระดับ 80 เหรียญฯได้ แต่ในเชิงกลยุทธ์มองว่าสถานการณ์จะไม่ยืดเยื้อมากหรือไม่ทำให้ดัชนีฯลงแรง แนะนำลงทุนให้ “ถือ” ต่อและเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่มีความน่าสนใจมากขึ้นในเรื่องผลตอบแทนด้านเงินปันผล รวมไปถึงหุ้นที่มีพื้นฐานดีอิงทิศทางตลาด สัปดาห์นี้แนะนำ CPF, OSP, GULF, SPALI, CPNREIT และ AU

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าสถานการณ์ความขัดแย้ง นอกจากจะทำให้ระดับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นและยังมีน้ำหนักมากพอที่จะมีผลต่อทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงไทยให้เผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ดังนั้นบทบาทหลักในการประคองภาวะเศรษฐกิจจะอยู่ที่การดำเนินนโยบายการคลังเป็นหลัก

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า  เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาทองคำทะยานขึ้นถึง 21.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 1.4% สวนทางกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 28,634.88 จุด ร่วงลง 233.92 จุด หรือ 0.81% ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐถูกเทขายเพื่อเข้าซื้อสกุลเงินปลอดภัย อาทิ เยนและฟรังก์สวิส ทำให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง

YLG ประเมินว่า ราคาทองคำในปีนี้ยังคงมีทิศทางขาขึ้น มีโอกาสที่จะขยับขึ้นต่อเพื่อทดสอบระดับ 1,603-1,616 ดอลลาร์ หรือ 22,900-23,100 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 2556 โดยเฉพาะหากสถานการณ์ตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นจะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ราคาจะสามารถทะลุผ่านกรอบแนวต้านแรก ประเมินแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 24,250 บาท

“ยังต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกมาเป็นระยะ สำหรับนักลงทุนที่ Day Trade แนะนำใช้กลยุทธ์ในการเข้าซื้อเป็นหลัก อาจเข้าซื้อบริเวณ 1,566-1,561 ดอลลาร์  แต่หากหลุดให้ชะลอการเข้าซื้อไปยังโซนแนวรับถัดไป 1,557-1,553 ดอลลาร์ โดยแนะนำตัดขาดทุนหากหลุด 1,553 ดอลลาร์  เมื่อราคาดีดตัวขึ้นอาจแบ่งปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่าน 1,589 ดอลลาร์  แต่ถ้าผ่านได้สามารถถือต่อ ที่สำคัญ คือ นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ในสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ” นางพวรรณ์ กล่าว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่าสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านเป็นผลกระทบต่อตลาดทุนเพียงเล็กน้อย เพราะทั้ง 2 ประเทศนี้มีความขัดแย้งกันมานานแล้ว จึงมองว่าจะไม่เกิดเป็นสงครามและราคาน้ำมันจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 100 เหรียญต่อบาร์เรล ปัจจุบันสหรัฐฯมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนมกราคม 2563 นายไพบูลย์กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) มาอยู่ที่ระดับ 80.75 หรือลดลง 8.17% จากผลสำรวจ ณ เดือนธันวาคม เป็นการลดลงเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกัน โดยกลุ่มบัญชีบล.และสถาบัน ลดลงมาอยู่ที่เกณฑ์ซบเซาจากทรงตัวในเดือนก่อน กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่เกณฑ์ทรงตัวเช่นเดิม ขณะที่กลุ่มนักลงทุนรายบุคคลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ซบเซาเช่นเดิม นักลงทุนคาดหวังนโยบายภาครัฐและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด โดยหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดการแพทย์ (HELTH) และหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)

นาย พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง (BLS) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย คาดการณ์ดัชนีหุ้นปีนี้ที่ 1,683 จุด กรอบเคลื่อนไหว 1,500-1,700 ในไตรมาส 1/ 63 แนะนำลงทุนกลุ่มพาณิชย์ (HMPRO,GLOBAL,CPALL,CBG,COM7) ,กลุ่มอาหาร (CBG,OSP) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA) และแนะนำการลงทุนกลุ่มที่ทำกำไรได้ดีในไตรมาส 4/62 คือ กลุ่มสินเชื่อบุคคล(SAWAD,MTC) ,กลุ่มอาหาร (CPF,CBG) ,กลุ่มสื่อ (PLANB,VGI) ,กลุ่มประกัน (BLA,TQM) และกลุ่มไอซีที (ADVANC,DTAC)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางว่า มองว่าเป็นปัจจัยภายนอก ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังแข็งแรงมาก ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมีอยู่ในระดับสูง แต่ก็ต้องไม่ประมาท ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะอาจจะมีโอกาสเกิดผลกระทบได้ โดยเฉพาะจากต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็อย่ากลัวจนเกินไป

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้ประชุมหารือกับผู้บริหารระดับสูง เพื่อติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเร่งหามาตรการรองรับ เบื้องต้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อสต็อกน้ำมันสำรองของประเทศ ณ วันที่ 5 มกราคม 2563 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 2,988 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,144 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 1,468 ล้านลิตร รวมจำนวนวันที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 50 วัน ส่วนปริมาณสำรองก๊าซ LPG ทั้งหมดประมาณ 101 ล้านกิโลกรัม สำรองได้ 17 วันสำหรับใช้ในภาคครัวเรือน

ทั้งนี้ ได้มีการบริหารจัดการเพื่อกระจายความเสี่ยงระยะยาว โดยกลุ่ม ปตท. (PTT) ได้ปรับลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เคยสูงถึงกว่า 74% และล่าสุดปรับลดเหลือประมาณ 50%

นายวีระพล จิรประดิษกุล ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน(องค์การมหาชน) หรือ สบพน. เปิดเผยว่า สถานะกองทุนฯ อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท หากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะกระทบต่อราคาขายปลีกอยู่ที่ 1 บาทต่อลิตร ซึ่งสามารถนำเงินจากกองทุนฯเข้ามาอุดหนุนราคาได้ และหากในอนาคตกองทุนฯติดลบ ก็สามารถกู้เพิ่มได้ 2 หมื่นล้านบาท