HoonSmart.com>> บล.หยวนต้า ประเมินผลกระทบเหตุตะวันออกกลาง กระทบกลุ่มท่องเที่ยว โรงพยาบาล ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ โรงไฟฟ้าในตะวันออกลาง ฟากกลุ่มพลังงาน น้ำมันได้ผลดีน้ำมันพุ่ง
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินผลกระทบความรุนแรงในตะวันออกกลางที่กำลังร้อนระอุ มองว่าเริ่มส่งผลกระทบไปยังทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทยคาดว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค และสร้างความผันผวนแก่ตลาดเงินและตลาดทุน โดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ามัน ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
บล.หยวนต้า ได้ประเมินผลกระทบจากประเด็นความรุนแรงในตะวันออกกลาง พบว่าอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ได้แก่ การท่องเที่ยว โรงแรม กลุ่มโรงพยาบาล (BH BDMS) กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโรงไฟฟ้า (ที่มีโรงไฟฟ้าในตะวันออกกลาง)
ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ ประโยชน์ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ในส่วน Oil play ที่ Margin มีความสัมพันธ์ทางเดียวกับทิศทางราคาน้ามัน ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์แนะนาลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์ จากราคาน้ามันที่สูงขึ้น ได้แก่หุ้น PTTEP, PTT, PTTGC
ในเชิงกลยุทธ์แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์ จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยประเมินว่าสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง หากยืดเยื้อจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งทำให้คาดว่าสินค้าส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เช่นเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าชธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลี่ยมเหลว อาจได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ขณะที่ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแบ่งตาม SECTOR สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
(1) กลุ่มที่อาจได้อานิสงค์เชิงบวก เช่น หุ้น Oil play ที่ Margin มีความสัมพันธ์ทางเดียวกับทิศทางราคาน้ำมัน ได้แก่ PTTEP, PTT, PTTGC
(2) กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือ ผลกระทบจำกัด ได้แก่กลุ่ม ICT กลุ่มอาหาร กลุ่ม Property กลุ่ม BANK – FINANCE กลุ่มค้าปลีก กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
(3) กลุ่มที่มีโอกาสถูกผลกระทบเชิงลบ เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม กลุ่มโรงพยาบาล (บางโรงที่มีสัดส่วนลูกค้าตะวันออกกลาง BH BDMS) กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเครื่องดื่ม (SAPPE) กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่มีโรงไฟฟ้าในตะวันออกกลาง GULF และ BGRIM
สำหรับผลกระทบความรุนแรงในตะวันออกกลาง โดยกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีนั้น
กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ – หุ้น Oil play ที่ Margin มีความสัมพันธ์ทางเดียวกับทิศทางราคาน้ำมัน ได้แก่ PTTEP PTT PTTGC
กลุ่มที่เสียประโยชน์ – หุ้นที่มีต้นทุนการผลิตอ้างอิงราคาน้ำมัน ได้แก่ SCC TASCO EPG
กลุ่มที่เป็นกลาง – หุ้นโรงกลั่น (TOP, SPRC, IRPC, ESSO, BCP) เพราะแม้ได้ประโยชน์ระยะสั้นจากกำไรสต็อกน้ำมัน แต่ระยะยาวมีความเสี่ยงจากค่าขนส่งน้ำมันสูงขึ้น ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น, หุ้นสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (PTT, BCP, ESSO, PTG, SUSCO) ระยะสั้นอาจมีกำไรสต็อกน้ำมัน แต่ราคาน้ำมันในระดับสูงจะเป็นลบต่อความต้องการใช้น้ำมันในระยะยาว รวมทั้งรัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงราคาเชื้อเพลิงเพื่อลดค่าครองชีพประชาชน ซึ่งเคยเกิดขึ้นกลางปี 2561
กลุ่ม ICT ผลกระทบต่อความตึงเครียดในตะวันออกกลางจำกัด จาก 1) รายได้มาจากภายในประเทศ และ 2) เป็นสินค้าจำเป็นที่คนยังต้องใช้ รายได้ที่อาจโดนกระทบบ้างคือรายได้ต่างประเทศ เช่น roaming แต่เนื่องจากมีสัดส่วนน้อยมาก และเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ทำกำไรเป็นหลัก ทำให้ผลกระทบจำกัดกว่ากลุ่มอื่น
กลุ่ม Property ในแง่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของคนในประเทศ เนื่องจากความกังวลของการเกิดสงคราม อย่างไรก็ตามคาดผลกระทบไม่มีนัยยะสำคัญต่อผู้ประกอบการในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
กลุ่ม Bank ประเมินว่ากลุ่มแบงค์จะไม่ได้รับกระทบในช่วงสั้น เนื่องจากแบงค์ส่วนใหญ่ทำธุรกิจในประเทศ และมีบางส่วนที่ลงทุนในเอเชียเท่านั้น แต่ในระยะกลางถึงยาวอาจได้รับผลทางอ้อมจาก ศก. โลกที่ชะลอลง และเงินเฟ้อที่อาจดีดตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ เราจึงแนะนำลงทุนในหุ้นแบงค์ที่เน้นรายได้ในประเทศเป็นหลักและคาดได้รับผลกระทบน้อยกว่าแบงค์อื่นอย่าง KKP (TP 85 THB)
กลุ่ม Finance ประเมินว่ากลุ่มไฟแนนซ์จะไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากประเด็นดังกล่าว แต่อาจมีผลทางอ้อมจากเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น กดดันคุณภาพสินทรัพย์และอัตราโตของสินเชื่อเพื่อการบริโภคของ KTC และ AEONTS
กลุ่มค้าปลีก ในแง่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่อาจส่งผลทางอ้อมจากกำลังซื้อที่อาจลดลงจากยอดนักท่องเที่ยวและภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวตามต่างประเทศซึ่งอาจมีผลจากความกังวลต่อเหตุการณ์ไม่สงบ คงคำแนะนำกลุ่ม เท่ากับตลาด เลือกหุ้นที่ HMPRO เป้าหมาย 7.80 บาท DOHOME เป้าหมาย 11.25 บาท
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ผลกระทบทางอ้อมกรณีราคาน้ำมันมีความผันผวนตามเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ กรณีราคาน้ำมันขึ้นจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนงานที่เพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งอย่างไรก็ดีคาดผลกระทบที่เกิดขึ้นจะน้อยกว่า5%ของกำไรสุทธิ น้ำหนักการลงทุน เท่ากับตลาด หุ้นแนะนำ SEAFCO เป้าหมาย 9.00 บาทและ PYLON เป้าหมาย 7.50 บาท ความเสี่ยงน้อยจากงานก่อสร้างใช้ระยะเวลาสั้น
กลุ่มอาหาร ไม่มีผลที่มีนัยสำคัญในช่วงสั้น ระยะยาวมองกลางถึงบวก เพราะไม่มีรายได้ในตะวันออกกลางในระดับที่มีสำคัญ แต่หากเป็นสหรัฐฯ TU มีสัดส่วนรายได้ในสหรัฐฯ 40% จึงได้รับผลกระทบที่สุดส่วน CPF มีสัดส่วนรายได้ในสหรัฐฯที่ 5%
อย่างไรก็ตามหากความขัดแย้งลุกลามเป็นสงครามยืดเยื้อจะส่งผลต่อการส่งออกถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ทำให้ราคากากถั่วเหลืองปรับขึ้นได้ แต่ในกรณีสงครามอาหารจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จะส่งผลต่อราคาอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน การที่ต้นทุนเลี้ยงสัตว์เพิ่มทำให้ผู้ประกอบการผลักภาระไปยังราคาขายได้ เพราะ Demand อาหารจะสูงเช่นกัน และหากไม่ลุกลามมายังเอเชียเชื่อว่าผู้ส่งออกอาหารในประเทศจะได้ประโยชน์จากการส่งออกอาหารไปยังประเทศที่ได้รับผลกระทบ
กลุ่มเครื่องดื่ม SAPPE ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะมีรายได้จากตะวันออกกลางราว 10-13% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายอื่นๆ ใน Coverage มีสัดส่วนในตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ไม่มากนัก ยกเว้น TACC ที่ไม่มีรายได้จากตะวันออกกลางเลย แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากราคาน้ำมันขึ้นต่อกลุ่มผู้ผลิตขวดแก้ว เนื่องจากใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิต ซึ่งราคาจะไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันนั่นคือ OSP, CBG, BGC
กลุ่มโรงไฟฟ้า บริษัทที่มีโรงไฟฟ้าในตะวันออกกลางคือ GULF และ BGRIM โดย GULF มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 326 MW ถือหุ้น 45% คิดเป็น 147 MWeในโอมาน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.6% ของกำลังการผลิตที่มีทั้งหมดตามสัดส่วนการถือหุ้น ส่วน BGRIM มีเพียง Solar roof ในโอมานขนาดเพียง 30 MW คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.6% ของกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นในปี 2563
นอกจากนี้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ LNG แบบ SPP อย่าง BGRIM ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากราคาน้ำมันขึ้น เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตจะปรับตัวขึ้นเช่นกัน ส่วน GULF เป็น IPP ที่ขายไฟตรงให้รัฐบาลซึ่งราคาขายผูกไว้กับราคาต้นทุนการผลิตแล้วจึงได้รับผลกระทบจำกัด
กลุ่มท่องเที่ยว หากดูสัดส่วนนักท่องเที่ยวแถบ Middle East ที่เดินทางเข้าไทยเดือน พ.ย. 62 มีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยที่ 1% ทำให้ภาพการท่องเที่ยวอาจไม่ถูกกระทบมากนัก แต่อาจกระทบ segment ระดับบนบ้าง อย่างไรก็ดี หากความตรึงเครียดลากยาว มีโอกาสที่ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมจะเติบโตลดลง โดยหากต่ำกว่า 4-5% เป็นระดับที่ไม่แข็งแรงต่อทั้งอุตสาหกรรม
กลุ่มโรงพยาบาล มองเป็นลบในระยะสั้น สำหรับโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าตะวันออกกลาง จากประเด็นความรุนแรงในตะวันออกกลาง อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่ม Medical tourism ของชาวตะวันออกกลางที่เดินทางมาประเทศไทยลดลง โดยกลุ่มโรงพยาบาลที่มีผลกระทบมากสุดจะเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศสูง ได้แก่ BH สัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติ 66% มาจากกลุ่มตะวันออกกลาง 23% ต่อรายได้รวม และ BDMS สัดส่วน รายได้จากลูกค้าต่างชาติ 31% จากตะวันออกกลาง 5%
บล.หยวนต้า แนะนำลงทุนในโรงพยาบาลที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็น Domestic ซึ่งจะมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยกว่า แนะนำ “ซื้อ” BCH (เป้าหมาย 21.80 บาท) และ VIBHA (เป้าหมาย 2.25) ซึ่งระยะสั้นแม้จะมีปัจจัยลบจากการตั้งสำรองประกันสังคมสำหรับ RW>2 ในไตรมาส 4/62 แต่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตดีในปี 2563 และยังมีประเด็นบวกจากการรอปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคมที่คาดว่าจะประกาศในเดือน มค.นี้
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดมีผลกระทบเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า หลังยอดขายของกล่ม electronic ทั่วโลก ส่งสัญญาณฟื้นตัวหลังการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ phase1 คืบหน้า อย่างไรก็ดี sentiment ดังกล่าวอาจถูกกดดันหากความตึงเครียดในตะวันออกกลางลากยาว ส่งผลให้การฟื้นตัวมาช้ากว่าที่ตลาดคาด
กลุ่มยานยนต์ คาดว่ามีผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศตะวันออกกลาง หากสงครามมีความยืดเยื้อ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนส่งออกไปยังตลาดตะวันออกกลางราว 12% ของตลาดส่งออกทั้งหมด และหากภาวะเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจะทำให้กำลังซื้อในประเทศปรับลดลง