ทรีนีตี้แนะเล่นหุ้น 4 เดือนได้ 10% ม.ค.เน้น IRPC-PTTGC-PTT

HoonSmart.com>>ในปี 2563 นักลงทุนวางแผนการลงทุนอย่างไร ถึงจะเอาชนะตลาดได้ หากยังไม่ทราบ ทางบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้มีข้อเสนอดีๆมาให้พิจารณา…..

โดย“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ แนะนำว่า กลยุทธ์การลงทุนในปี 2563 จะคล้ายกับในปี 2552 คือเล่นหุ้น 4 เดือน และ 8 เดือนที่เหลือ ถือเงินสดหรือหาแหล่งลงทุนที่เหมาะสมในเวลานั้นๆ ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงถึง 10% ต่อปี

บล.ทรีนีตี้มีการศึกษาธีมการลงทุน 3 ระยะคือ ระยะสั้น 1 เดือน (ม.ค.) ระยะกลาง 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) และระยะยาว 12 เดือน(ม.ค.-ธ.ค.)ที่ผ่านการ Back-test มาเป็นอย่างดี ด้วยความเชื่อมั่นถึง 80%คาดว่าหุ้นที่แนะนำจะให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดแต่ละช่วงได้

สำหรับธีมการลงทุน 1 เดือน ในเดือนมกราคม 2563 แนะนำหุ้น บริษัท ไออารพีซี(IRPC),บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC),บริษัทปตท.( PTT)

จากการศึกษาข้อมูลพบว่าตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา นักลงทุนสถาบันไทยซื้อสุทธิในเดือนมกราคมมาโดยตลอดและปีนี้ก็น่าเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน และไม่มีแรงกดดันจากการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุใหม่ มีโอกาสสูงมากที่ดัชนีหุ้นจะบวก หากนับเฉพาะ 5 ปีหลังสุดที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 3.6% แนะนำให้ผู้ที่เคยสะสมหุ้นที่บริเวณดัชนี 1,570 จุดถือหุ้นต่อไป และหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนอีกครั้ง

มองว่ากลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ จะต้องเป็นกลุ่มหุ้นที่มีขนาดใหญ่พอประมาณ จึงเลือกใช้ดัชนี SET100 และยังต้องเป็นหุ้นที่เริ่มเห็น Momentum ของการปรับเพิ่มประมาณการกำไร พบว่า หุ้นที่ถูกปรับเพิ่มประมาณการกำไรมากที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ IRPC, PTTGC, AEONTS, PTT, SCC, TCAP, BH, ADVANC, TOA, CPF รวมถึงหุ้นที่มีระดับ Downside ของราคาจำกัดด้วย หากคัดกรองโดยขั้นตอนนี้ จะเหลือหุ้นที่เข้าข่ายคือ IRPC, PTTGC, PTT, SCC, BH

สุดท้ายหากแยกเป็นรายกลุ่ม ค้นพบว่า มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัว Outperform ได้ดีในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี กล่าวคือมีค่า Median return ตั้งแต่ 3% ขึ้นไป (ใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2555) ซึ่งได้ แก่กลุ่มปิโตรเคมี ,ขนส่ง,การเงิน,ไอซีที,ธนาคารพาณิชย์,อสังหาริมทรัพย์,พลังงาน (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่แทบทั้งสิ้น สะท้อนถึงการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันได้เป็นอย่างดี) ดังนั้นหากเลือกหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเหล่านี้ด้วย มีหุ้น 3 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์คือ IRPC, PTTGC, PTT ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำหุ้น 3 ตัวนี้เป็นหุ้นเด่นประจำธีมการลงทุนระยะสั้นในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้

ส่วนธีมการลงทุนระยะกลาง 4 เดือน จากการศึกษาพบว่าตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นปีที่ดัชนี SETHD ถูกจัดตั้งเป็นปีแรก ดัชนีนี้ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มหุ้นปันผลสูงมักปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของทุกๆปีโดยตลอด และมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 9.7%หากคำนวณเป็นความเชื่อมั่นทางสถิติ (Confidence level) จะพบว่าระดับความเชื่อมั่นที่ดัชนี SETHD จะให้ผลตอบแทนทั้งหมดในช่วง 4 เดือนแรกของปีเป็นบวกนั้นอยู่ สูงถึง 98.9% และคัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีสถิติย้อนกลับไปไกลจนถึงเดือนมกราคมปี 2554 เพื่อเพิ่มระดับความมั่นใจในเชิงสถิติ จะทำให้มีหุ้นที่เข้าข่ายทั้งสิ้นเหลือ 26 ตัว จากทั้งหมด 30 ตัว

หลังจากนั้นเราจึงนำ 26 ตัวนี้มาคำนวณหาความเชื่อมั่นทางสถิติ (Confidence level) ที่ตัวหุ้นแต่ละตัวนั้นจะให้ผลตอบแทนทั้งหมดเป็นบวก และคัดเฉพาะหุ้นที่มีความเชื่อมั่นดังกล่าวสูงกว่า 80% ขึ้นไป ซึ่งหาก เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย จะพบว่าได้แก่ SCC, PTT, ADVANC, TISCO, SGP, AP, MAJOR, INTUCH, BBL, LH ซึ่งหุ้นทั้ง10 ตัวมีการกระจายไปยังหลากหลาย อุตสาหกรรม ดังนั้นพอร์ตการลงทุนนี้น่าจะมีความเสี่ยง Sector risk ที่ต่ำลงไปด้วย ด้วยเหตุนี้เราจึงแนะนำหุ้นทั้ง 10 ตัวนี้เป็นหุ้นเด่นประจำธีมการลงทุนระยะกลางในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 โดยลงทุนด้วยน้ำหนักที่เท่าๆกันตัวละ 10% และคาดหวังอัตราผลตอบแทนที่ระดับราว 10% (ทั้งนี้ หากคำนวณค่าเฉลี่ยผลตบแทนของหุ้นกลุ่มนี้ในอดีตจะอยู่ที่ 12.9%)

“เล่นหุ้น 4 เดือนคาดหวังผลตอบแทนสูงถึง 10% คาดให้ผลตอบแทน 8% สบาย ๆ ด้วยความเชื่อมั่นสูงถึง 80% จากหุ้นปันผลสูง” “ณัฐชาตกล่าว

ธีมการลงทุนตลอดปี 2563 เกิดจาก ในช่วงหลัง นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจมากเป็นพิเศษกับหุ้นประเภท Laggard หรือหุ้นที่มีการปรับตัวของราคาอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ จึงทำการพิสูจน์สมมติฐาน โดย การเก็บข้อมูลสถิตินับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา (5 ปีหลังสุด) บนสมมติฐานหลัก คือว่า การลงทุนในหุ้น SET100 ทุกตัวที่ราคาปรับตัวลงมาลดต่ำกว่าระดับ -2SD จากค่าเฉลี่ย 200 วัน ณ วันทำการสุดท้ายของปี ด้วยน้ำหนักที่เท่าๆกัน แล้วถือครองการลงทุนนั้นไป 1 ปีเต็มๆจนถึงสิ้นปีถัดไป จะให้ผลตอบแทนที่ชนะตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวได้

จากผลการศึกษาที่ได้พบว่ากลยุทธ์การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนชนะตลาดในปี 2558 ,2559, 2562 และแพ้ตลาดในปี 2561 เพียงปีเดียว ส่วนปี 2560 ไม่มีการลงทุน เนื่องจาก ณ สิ้นปี 2559 ไม่มีหุ้นใดใน SET100 ที่มีราคา ต่ำกว่าระดับ -2SD

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่า กลยุทธ์นี้ในปี 2562 ผลตอบแทนค่อนข้างจะโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญที่ 7% เป็นการสะท้อนว่าในภาวะการลงทุนที่ดัชนีมี Upside จำกัดจากปัจจัยเรื่องของ Valuation มิติการลงทุนหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาก็คือการลงทุนในหุ้นที่มี Downside จำกัดในแง่ของราคาเมื่อเปรียบเทียบกับตลาด หรือเป็นหุ้นที่รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว จนทำให้มีระดับ Reward-to-Risk ที่น่าสนใจมากขึ้น ปัจจุบันได้คัดกรองหุ้นในดัชนี SET100 ที่มีราคาล่าสุดซื้อขายต่ำกว่าระดับ -2SD จากค่าเฉลี่ย 200 วัน พบว่ามีอยู่ทั้งสิ้น 6 บริษัท ได้แก่ ANAN, BJC, RS, MEGA, WHA, TPIPP (เรียงจากหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่าระดับ -2SD มากที่สุด) จึงแนะเป็นหุ้นเด่นประจำธีมการลงทุนระยะยาว ด้วยน้ำหนักที่เท่าๆกัน คาดหวังว่าอย่างน้อยพอร์ตการลงทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนที่สามารถชนะตลาดได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวบริเวณ 1,600 จุดต้นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา ดัชนีปิดที่ 1,579.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.02%จากปีก่อนหน้า ส่วนในครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีขึ้นไปเหนือ 1,700 ได้ เพราะมีการนำประมาณการกำไรต่อหุ้นของปี 2564 เท่ากับ 111 บาทมาใช้ในการคำนวณระดับ P/Eที่ 15.4 เท่า และหากงบประมาณปี 2563 ผ่านสภาได้ในเดือนก.พ. รัฐสามารถนำเงินมาผลักดันเศรษฐกิจและส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ได้ก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและตลาดหุ้นให้ปรับขึ้นได้มากขึ้น

ณัฐชาตกล่าวย้ำว่า การลงทุนในปี 2563 ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดสรรเงินลงทุน แบ่งพอร์ตลงทุน เป็นหุ้น 30% ตราสารหนี้ 30% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% ทองคำ 10% และเงินสด 20% ในส่วนหุ้นและตราสารหนี้แบ่งเป็นต่างประเทศ 20% และในประเทศเพียง 10% เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีอีกหลายประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจและการเมืองดีกว่าไทย ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยิลด์)ของสหรัฐ 10 ปีให้เท่ากับ 1.9% ก็ยังสูงกว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปีของไทยที่ 1.5%  เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว