ดีบีเอส-บัวหลวงแนะหุ้นปี 63 KTB ลุ้นสินเชื่อโต 3% VGI เข้า SET50

HoonSmart.com>>กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 1.25% หั่นเป้าเศรษฐกิจปีนี้ปีหน้า โต 2.5 และ 2.8% บล.ดีบีเอสฯเชียร์ CPALL , AP, KKP/TISCO, MTC บล.บัวหลวงแนะกลยุทธ์เทรดดิ้ง เสนอ 5 กลุ่มน่าสนใจ  ส่วน VGI ผงาดเข้าใหม่ ดัชนี 50 และ 100  ธนาคารกรุงไทยตั้งเป้าสินเชื่อโต 2.7-3% ดีกว่าปีนี้  หุ้นไทยพุ่งแรง 15 จุด ต่างชาติ-สถาบันช่วยกันซื้อ

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาศ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า วันที่ 18 ธ.ค. 2562 ที่ประชุมกนง.มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% มองแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพ และต่ำกว่าที่ประมาณการไว้เดิม จากการส่งออกหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดเป็นสำคัญ จึงมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2562 เหลือเติบโต 2.5% และปี 2563 โต 2.8% เพราะการส่งออกหดตัวลบ 3.3% และบวก 0.50% ในปี 2563

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) วิเคราะห์ คาดว่าปี 2563 อัตราดอกเบี้ยจะทรงตัว หรือลดลงอีกเล็กน้อย ดอกเบี้ยต่ำยังกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและซื้อที่พักอาศัยได้ไม่มาก เพราะกำลังซื้อชะลอตัว ผลกระทบจากกฎเกณฑ์ใหม่ ให้น้ำหนักปกติ กลุ่มค้าปลีก ที่พักอาศัย แบงก์ และไฟแนนซ์ แนะนำซื้อหุ้น CPALL ,AP ,KKP/ TISCO, MTC

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในปี 2563 แนวโน้มหุ้นจะแกว่งตัวไซด์เวย์ มองกรอบบนอยู่ที่ 1,688 จุด และกรอบล่างที่ 1,488 จุด บนสมมุติฐานกำไรต่อหุ้นของบจ.อยู่ที่ 102 บาท เติบโต 10.6% จากปีนี้ที่ 92 บาท คาดกระแสเงินทุนไหลเข้าในตลาดหุ้นจะชะลอตัวลง เนื่องจากเงินบาทยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นไทยแพงขึ้น รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ทำให้ความน่าสนใจลดลง

กลยุทธ์การลงทุนแนะเทรดดิ้ง กลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มสินเชื่อบุคคล กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มโรงพยาบาล

ขณะเดียวกันการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานยังคงมีความน่าสนใจ เพราะเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกอง REIT ที่ลงทุนในอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 22% ใน 1 ปี และ 13.3% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

“ปี 2563 เรายังมองตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ตอบแทนมากที่สุด แต่นักลงทุนต้องปรับความคิดและมุมมองการลงทุน ไม่ใช่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว ต้องกระจายออกไปตลาดหุ้นต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นไทยมาก ทำให้เรามีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น”นายชัยพร กล่าว

ทางด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการจัดทำแผนดำเนินงานในปี 2563 เบื้องต้นตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 2.7-3% สูงขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะโตเพียง 1-2% สินเชื่อที่จะเติบโตหลักๆ จะมาจากสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อภาครัฐ และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะพยายามรักษาผลการดำเนินงานไม่มีความผันผวน ผ่านการควบคุมและดูแลเสถียรภาพอย่างมีประสิทธิภาพ  รวมถึงการขายหนี้ออกไปด้วย ส่งผลให้แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) ลดลงมาต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้การตั้งสำรองฯ จะใกล้เคียงกับปีนี้ โดยจะพยายามรักษาระดับสัดส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้สูญให้อยู่ในระดับ 120-130% จากปัจจุบัน 128% ขณะเดียวกันยังมีการควบคุมต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ  เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสูง และทำให้ผลการดำเนินงานออกมาเป็นที่พอใจ

นอกจากนี้ ธนาคารยังคงเดินหน้าลงทุนระบบไอทีอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะใช้งบลงทุนใกล้เคียงกับปีนี้  และวางแผนจะปิดสาขาอีก 50-70 สาขา ส่วนใหญ่เป็นสาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นเป็นไปตามกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นการให้บริการลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก ขณะที่มีนโยบายให้พนักงานเรียนรู้เพิ่มทักษะใหม่ๆ ย้ายแผนกทำงานเพื่อให้เรียนรู้งานหลากหลาย แต่ไม่มีนโยบายปลดพนักงาน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศรายชื่อหุ้นที่เข้าสู่การคำนวณดัชนีต่างๆ ในช่วงครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.2562) ในส่วนดัชนี SET50 มีเข้าใหม่ 1 บริษัท คือบริษัท วีจีไอ (VGI) SET 100 มี 5 บริษัท คือบริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM) และ VGI

ดัชนี sSET มีหุ้นเข้าใหม่ 15 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง (AMANAH) บริษัท  อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) บริษัท การบินกรุงเทพ (BA) บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) บริษัท  ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก (EPCO) บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) บริษัท  เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป (PLAT) บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ (RPH) บริษัท  ซาบีน่า (SABINA) บริษัท สามารถเทลคอม (SAMTEL) บริษัท แสนสิริ (SIRI) บริษัท สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ (TAE) และ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN)

ดัชนี SETHD มีหุ้นเข้าใหม่ 5 บริษัทคือบริษัท บ้านปู (BANPU)   ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) และ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)

ดัชนี SETTHSI มีหุ้นเข้าใหม่ 14 บริษัท ได้แก่  บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) บริษัท  บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) บริษัท  โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) บริษัท  กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บริษัท  อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) บริษัท ธนาคารกรุงไทย (KTB) บริษัท  บัตรกรุงไทย (KTC) บริษัท  เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) บริษัท  สิงห์ เอสเตท (S) บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) และบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)

ดัชนี SETWB มี 2 บริษัท คือ TFG  และ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN)

ตลาดหุ้นวันที่ 18 ธ.ค.ปรับตัวขึ้นแรงกว่าตลาดในภูมิภาค  ดัชนีปิดที่ 1,563.74 จุด เพิ่มขึ้น 15.09 จุด หรือ 0.97% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 50,326 ล้านบาท จากนักลงทุนต่างชาติซื้อต่อเนื่องเป็นวันที่สอง จำนวน 1,452 ล้านบาท และสถาบันในประเทศช้อนด้วย 3,065 ล้านบาท ส่วนรายย่อยถือโอกาสทำกำไร 3,782 ล้านบาท