HoonSmart.com>> “สตาร์เฟล็กซ์” ควงที่ปรึกษาการเงินเดินสายโรดโชว์ขายหุ้นนักลงทุน 3 จังหวัดใหญ่ “หาดใหญ่ -กรุงเทพฯ-เชียงใหม่” สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ก่อนนำหุ้นเข้าเทรด SET ภายในปีนี้ “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” คาดเคาะราคาไอพีโอภายในสัปดาห์นี้
นายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) สำหรับสินค้าอุปโภคและสินค้าบริโภค ตามคำสั่งของลูกค้า (Made to Order) เปิดเผยว่า SFLEX เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 110 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.83% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คาดว่าจะสามารถนำหุ้นของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปีนี้และภายในสัปดาห์นี้จะสามารถกำหนดราคา IPO ได้
สำหรับภาพรวมธุรกิจ SFLEX เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน หรือ Flexible Packaging ที่ใช้สำหรับบรรจุสินค้าอุปโภคและสินค้าบริโภคทั้งในรูปของเหลวและของแห้งให้กับผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของประเทศ รูปแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ประเภทม้วน (Roll Form) และบรรจุภัณฑ์ประเภทซอง (Pre Form Pouch) รูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Stand-up Pouch, 3-Sided Seal Pouch, Center Seal Pouch และ 4-Sided Seal Pouch
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตามลักษณะของสินค้าที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภค (Non-Food Products) เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก ครีมอาบน้ำ เป็นต้น และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภค (Food Products) เช่น ไอศครีม วุ้นเส้น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสัตว์ เป็นต้น โดยรายได้จากการขายหลักของบริษัทฯ มาจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภค คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80-85 ส่วนที่เหลือประมาณร้อยละ 15-20 มาจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภค
SFLEX มองเห็นโอกาสการเติบโต เนื่องจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ สนับสนุนให้ปริมาณการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนทั้งในส่วนของสินค้าอุปโภคและสินค้าบริโภคยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างมาก คือการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว เราไม่ใช่แค่เพียงขายสินค้าให้แก่ลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่บริษัทฯ จะมีการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้แก่ลูกค้า โดยมีการทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด มีการ Update แนวโน้มเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Flexible Packaging ให้แก่ลูกค้าเป็นประจำ รวมถึงเน้นการให้บริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังได้ขยายฐานลูกค้าไปยังบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภคมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต จะเห็นได้ว่าสัดส่วนยอดขายจากบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภคเพิ่มขึ้นจาก 15.23% ในปี 2561 เป็น 20.18% ในงวด 9 เดือนแรกปี 2562
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SFLEX เปิดเผยว่า เตรียมจัดงานเดินสายนำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุน (โรดโชว์) ใน 3 จังหวัดใหญ่ ประกอบด้วย วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 พบนักลงทุน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา วันที่ 2 ธันวาคม 2562 พบนักลงทุนที่จังหวัดกรุงเทพฯ และวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ปิดท้ายการโรดโชว์ให้แก่นักลงทุนทั่วไปที่ จังหวัดเชียงใหม่
อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ จากการที่ผู้ถือหุ้นหลักมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มานานกว่า 32 ปี จึงเล็งเห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ และมีความเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของประเทศ รวมถึงผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบ (Suppliers) ทำให้มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่องและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาวัตถุดิบร่วมกับผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบให้สามารถรอบรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกให้สอดคล้องกับกระแสรักษ์โลก
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2559-2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,181.01 ล้านบาท 1,353.33 ล้านบาท 1,374.25 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 33.29 ล้านบาท 146.63 ล้านบาท 136.11 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 943.22 ล้านบาท มีกำไรสุทธิจำนวน 46.42 ล้านบาท