HoonSmart.com>> “อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์” มองเศรษฐกิจโลกปี 63 ชะลอ ไม่ถึงขั้น “ถดถอย” แนะกระจายการลงทุน เน้น “คุณภาพ” ชูหุ้นตลาดเกิดใหม่ ญี่ปุ่น ฟาก “ไทย” เศรษฐกิจดีขึ้น กำไรบจ.ยังโตหนุนตลาดหุ้น 1,700 กว่าจุด ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า แนะหุ้น Defensive กลุ่มเครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้างน่าสนใจ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จัดสัมมนา “2020 Market Outlook” เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2562 โดย Govinda Finn นักเศรษฐศาสตร์ประเทศพัฒนาในเอเชียและญี่ปุ่น อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์ (ASI) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกระยะยาวชะงักงันขยายตัวในอัตราต่ำ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยต่ำเป็นปัจจัยกดกันเศรษฐกิจโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้า
สำหรับปี 2563 ยังมีความไม่ชัดเจนด้านนโยบายและการเมืองเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งอุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน ทำให้ฝ่ายวิจัยฯ ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกปี 2563 และปี 2564 ลงเหลือ 3.1% จากเดิม 4% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงหลังเหตการณ์วิกฤตการเงินโลก แต่ถึงแม้ปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ เพิ่มขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจยังประคองตัวให้ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) ได้ เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากของธนาคารกลางต่างๆ โดยคาดว่าการปรับดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในกรอบนโยบายแคบของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปัจจุบันจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงใช้มาตรการดอกเบี้ยในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตามต้องติดตามว่านโยบายการเงินว่าจะเหลือรูมเพียงพอที่ช่วยเหลือเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน เพราะแม้แต่ละประเทศจะใช้นโยบายการคลังได้ แต่มีปัญหาความไม่แน่นอนจากการเมือง ซึ่งไทยก็เป็นเช่นกัน รวมถึงความเสี่ยงจาก Brexit ในขณะที่ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะยังไม่สามารถหาข้อยุติได้เร็ว
“เราคาดว่าผลตอบแทนที่เดิมเคยได้รับจากสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จะลดลงมากเมื่อเทียบในอดีต โดยพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมาก เริ่มมีผลตอบแทนติดลบ วงธุรกิจต่างๆ ใกล้ถึงจุดอิ่มตัว โอกาสเพิ่มอัตราสัดส่วนกำไรของบริษัทในภาคธุรกิจหายไป คือ สัญญาณชี้ว่าผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้นจะต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยระยะยาว จึงต้องเน้นกระจายการลงทุนและระมัดระวัง”Govinda Finn กล่าว
สำหรับการลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และญี่ปุ่นยังน่าสนใจ เนื่องจากราคาถูก รวมทั้งยังชอบตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ราคาแพง แต่เศรษฐกิจยังเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและยังสนใจหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและหุ้นปันผล สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำสินทรัพย์ประเภทโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากยังรักษากระแสเงินสดได้โดยไม่อ่อนไหวมากนักต่อสภาพเศรษฐกิจ และมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ใช้กระจายการลงทุนที่น่าสนใจ
ด้านนายพงศ์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า หากเศรษฐกิจไม่แย่ไปกว่านี้และเงินบาทไม่ได้แข็งค่าไปมากนัก โดยคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้น่าจะเติบโตที่ 2.5% และปี 2563 ที่ 3.1% ส่วนค่าเงินบาทในปี 2563 น่าจะอยู่แถว 30 บาท หรืออาจแข็งค่าทะลุ 30 ก็เป็นไปได้ เนื่องจากการส่งออกยังขยายตัวได้มากกว่าการนำเข้า ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าไม่ได้เป็นผลจาก Fund Flow ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยอย่างที่หลายคนเข้าใจ
“ปีหน้าตลาดตราสารหนี้ไทยน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ การตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในเฟสแรกน่าจะชัดเจนขึ้นทำให้ความไม่แน่นอนลดลง และฟันด์โฟลว์น่าจะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ จากปีนี้ที่เงินไหลออก แต่ภาพการลงทุนยังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักไปยังตลาดหุ้นมากขึ้นกว่าลงทุนในตราสารหนี้”นายพงศ์ธาริน กล่าว
ด้านนายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2563 จะดีกว่าปีนี้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นจากปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตและอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 3-4% คาดว่าจะหนุนดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปัจจุบันอยู่แถว 1,620 จุด หรือขึ้นไปแถว 1,700 กว่าจุดได้ ส่วนปีนี้คงปิดอยู่แถว 1,600 จุดบวกลบ
“ตลาดหุ้นครึ่งปีแรกคงยังไม่ไปไหน รองบประมาณปี 2563 ผ่านสภาฯ และน่าจะออกมาในช่วงไตรมาส 2/2563 ทำให้เห็นการลงทุนของภาครัฐและเอกชน จึงมองตลาดน่าจะเริ่มดีในครึ่งปีหลัง ขณะที่การส่งออกสุทธิก็น่าจะดีขึ้นผลกระทบสงครามการค้าน้อยลง เพราะจะเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นจากฐานที่ต่ำ”นายออเสน กล่าว
อย่างไรก็ตามจากท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ต่อไปในปี 2563 การเลือกหุ้นที่จะลงทุนจึงโฟกัสที่ฐานะทางการเงินและกระแสเงินสด ซึ่งความผันผวนที่ยังคงสูงได้เปิดให้เป็นโอกาสที่ดีในการสะสมการลงทุนที่มูลค่าเหมาะสม โดยมองหุ้นกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลยังน่าสนใจ
สำหรับหุ้นในกลุ่มที่ยังน่าสนใจยังชอบกลุ่ม Defensive , การบริโภคในกลุ่มเครื่องดื่ม ซึ่งเติบโตได้ดี กลุ่มสดุก่อสร้างน่าสนใจเพราะต้นทุนต่ำลงทำให้รักษา Margin ที่ดีได้ และยังมีปัจจัยบวกจากการเร่งลงทุนของภาครัฐ
ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับหนี้ครัวเรือน ภาคเกษตร รวมถึงธนาคารพาณิชย์ยังไม่น่าสนใจ เพราะมองธนาคารยังไม่เร่งให้กู้ จากอัตราผลตอบแทนต่ำลงจากแนวโน้มดอกเบี้ยต่ำ และห่วง NPL เช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์
นายออเสน กลาวว่า สำหรับมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนเงินเพื่อลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) จำนวน 50,000 บาทต่อรายนั้น มองว่าไม่น่าช่วยให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ เพราะเป็นเม็ดเงินน้อยมาก แต่คงช่วย Sentiment ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านอยู่แล้ว แต่คงไม่เพิ่มดีมานด์ใหม่ในตลาด ขณะเดียวกันมองว่าไม่น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชะลอเปิดโครงการใหม่ออกไป สิ่งที่ทำตอนนี้คือเร่งก่อสร้างโครงการที่มีอยู่เพื่อลูกค้าจะได้โอน
ด้านแนวโน้ม Fund Flow จากต่างประเทศน่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้นเป็นบวก จากปีนี้ติดลบเล็กน้อย เนื่องจาก Fund Flow ยังเลือกให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์ด้วย
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้ผลบวกจากปี 2563 ที่ไม่มีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ครบกำหนดที่นำหน่วยลงทุนขายออกได้ ประกอบกับสภาพคล่องในระบบการเงินไทยยังสูง จึงอาจเห็นการโยกเงินจากเงินฝากที่ดอกเบี้ยผลตอบแทนต่ำ และโยกเงินจากตลาดตราสารหนี้ที่ราคาสูงขึ้นทำให้ผลตอบแทนต่ำลง เข้ามาเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น