โดย…ThaiBMA
ถ้าบอกว่า High yield bond เป็นหุ้นกู้จ่ายผลตอบแทนสูงก็จะฟังดูดี๊ดี แต่ถ้าบอกว่าเมืองนอกเขาเรียกว่า Junk bond ล่ะ! จะยังฟังดูน่าสนใจอยู่ไหม ทำไมหุ้นกู้เหล่านี้ถึงให้ผลตอบแทนสูง? ก็เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตในการผิดนัดชำระที่สูงขึ้นนั่นเอง โดย High yield bond จะครอบคลุมหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งต่ำกว่า BBB- ลงมา คือ BB, B, C ซึ่งอาจรวมไปถึง หุ้นกู้ไม่มีเรทติ้งด้วย
หุ้นกู้ที่มีเรทติ้งยิ่งต่ำ โอกาสในการผิดนัดชำระก็ยิ่งสูง จากสถิติในอดีตพบว่าหุ้นกู้เรทติ้ง BB จะมีโอกาสการผิดนัดชำระในช่วงเวลา 1 ปีเท่ากับ 3.17% หรือเทียบง่ายๆคือพอๆ กับโอกาสหยิบธนบัตรขึ้นมาแล้วเจอเลข 3 ใน 2 เลขท้าย (ข้อมูลจาก Transition Probability Matrix บนเว็ปไซด์ ThaiBMA)
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาด High yield bond ของไทยได้รับความนิยมมากขึ้นเห็นได้จากมูลค่าคงค้าง ที่เพิ่มขึ้นจาก 46 พันล้านบาทในปี 2015 เป็น 127 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2019 เมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 2.41% มาที่ 3.92%
ทำไมภาคธุรกิจถึงออก High yield bond เหตุผลก็คือ การระดมทุนผ่าน High yield bond แม้จะต้องจ่ายผลตอบแทนสูง แต่ก็ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่าการกู้ธนาคาร ผู้ออก High yield bond จำนวนมากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็ได้รับอันดับเครดิตในระดับต่ำ เพราะอาจเป็นธุรกิจใหม่ มีภาระหนี้สินสูง หรือมีกระแสเงินสดที่ไม่มั่นคงนัก นอกจากนั้น บางบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักต้องการกู้เงินในปริมาณน้อยอาจออกหุ้นกู้แบบไม่มีเรทติ้งเพื่อประหยัดต้นทุนการจัดอันดับเครดิต หรือบางบริษัทอาจเลือกที่จะไม่จัดเรทติ้งแบบเปิดเผย เพราะไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลธุรกิจแก่บุคคลทั่วไป
ผู้ลงทุนหลักของ High yield bond ในประเทศไทย คือ กลุ่มนักลงทุนบุคคลธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ (High net worth) โดยมียอดถือครองเพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2015 มีสัดส่วนอยู่ที่ 76% ของมูลค่าคงค้าง High yield bond ทั้งหมด เพิ่มขึ้นเป็น 86% ณ ครึ่งปีแรก 2019 ต่างจากประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ส่วนใหญ่นักลงทุนจะลงทุนใน High yield bond ผ่านกองทุนรวม ที่จะได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงมากกว่า
นักลงทุนสถาบันในประเทศไทยอย่างกลุ่มกองทุนรวมลงทุนใน High yield bond (ไม่รวมตราสารหนี้ระยะสั้น) ค่อนข้างน้อย สัดส่วนการถือครองของกองทุนลดลงจาก 8% เป็น 2% ของมูลค่าคงค้าง High yield bond ทั้งหมด เช่นเดียวกันกับกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ลดลงจาก 4% เหลือ 2% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ด้านบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ พบว่า กว่า 60% ของ High yield bond มาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP sector) โดยมีมูลค่าคงค้างของ High yield bond ประมาณ 84 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงหลังๆจะมีการนำสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน อาคาร มาค้ำประกันการออก High yield bond เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
การลงทุนใน High yield bond ที่ให้ผลตอบแทนสูง ก็ย่อมมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระสูงกว่าหุ้นกู้ที่มีเครดิตดีๆ ดังนั้น นักลงทุนไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยดูเพียงอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับเท่านั้น แต่ต้องศึกษาพิจารณาฐานะการเงินสัดส่วนหนี้สินเมื่อเทียบกับทุน สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทผู้ออก รวมไปถึงความน่าเชื่อถือของผู้ถือหุ้นใหญ่ และผู้บริหารด้วย และควรกระจายการลงทุน โดยพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น