HoonSmart.com>> ตลาดหลักทรัพย์ ชูสิ้นเดือนต.ค.62 หุ้นไทยปันผลเฉลี่ย 3.14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI Emerging Market อยู่ที่ 2.86% ด้านพี/อีหุ้นไทยสูงกว่าตลาดเอเชีย นักลงทุนต่างชาติขายทำกำไรเกือบ 8 พันล้านบาท หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เกษตรและอาหาร ทรัพยากรและบริการผลตอบแทนชนะตลาด พร้อมมองช่วงที่เหลือได้แรงหนุน เงิน LTF-RMF-MSCI
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นเดือนต.ค. ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 7,914 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนเช่นเดียวกับตลาดส่วนใหญ่ในเอเชีย จากความขัดแย้งทางการค้ามีทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการขยายระยะเวลาการลงมติ Brexit และในช่วง 10 เดือนแรกของปี มูลค่าระดมทุนไทย 67,071 ล้านบาท สูงสุดในภูมิภาคหลังจากการเข้าซื้อขายของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) ซึ่งมูลค่าระดมทุนสูงสุดในภูมิภาคในปี 2562
ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ณ สิ้นเดือนต.ค.2562 ปิดที่ 1,601.49 จุด ลดลง 2.2% จากสิ้นเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้น 2.4% จากสิ้นปี 2561 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนต.ค.2562 อยู่ที่ 52,059 ล้านบาท ลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มบริการให้ผลตอบแทนมากกว่า SET Index
ด้าน Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย อยู่ที่ระดับ 16.6 เท่า และ 18.5 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.9 เท่า และ 15.9 เท่าตามลำดับ
ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI Emerging Market ที่อยู่ที่ 2.86% ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 17.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากสิ้นปี 2561 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของดัชนี
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในเดือนต.ค.2562 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 375,709 สัญญา ซึ่งลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายศรพล กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมถึงกรณี MSCI ที่มีการเพิ่มหุ้นเข้าคำนวณดัชนี ด้านแนวโน้มการท่องเที่ยวและการส่งออกคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ยังถือเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามในระยะต่อไป