ทริสฯ ปรับแนวโน้ม THAI เป็น “ลบ” ธุรกิจแข่งดุกดรายได้-กำไรอ่อนแอ

HoonSmart.com>>บริษัทการบินไทยเตรียมออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตที่ A ให้น้ำหนักรัฐหนุนบริษัทเต็มที่ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ-สายการบินแห่งชาติ ติดข้อจำกัดบริษัทมีหนี้สูงขึ้น พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มเครดิตจาก”คงที่” เป็น”ลบ” เพราะความสามารถในการทำกำไรอ่อนแอ ธุรกิจมีการแข่งขันรุนแรง กดรายได้ค่าโดยสารต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตรลดลง คาดแนวโน้มอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

บริษัท ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท การบินไทย (THAI) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “ลบ” จาก “คงที่”ขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดและใช้ในการลงทุน

อันดับเครดิตได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังว่าภาครัฐจะช่วยสนับสนุนบริษัทเป็นอย่างมากในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และสายการบินแห่งชาติ แต่มีข้อจำกัดจากการที่มีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นตามแผนการจัดหาเครื่องบินและมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความเสี่ยงปกติในธุรกิจสายการบิน

ทริสเชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่รัฐบาลจะยังคงสนับสนุนทางการเงินให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่องและทันการณ์  เมื่อบริษัทต้องการความช่วยเหลือ ดังจะเห็นได้จากในอดีตเมื่อบริษัทเผชิญความยากลำบากทางการเงิน บริษัทมีสถานะเป็นสายการบินแห่งชาติ งบประมาณและแผนการลงทุนต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

ส่วนการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการบินจะยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งจะจำกัดความสามารถของบริษัทในการปรับปรุงรายได้ค่าโดยสารต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตร ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทไม่สามารถปรับราคาตั๋วเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสายการบินทั้งสายการบินเต็มรูปแบบและสายการบินต้นทุนต่ำ ส่งผลให้รายได้ลดลงเป็น 2.18 บาทต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตร เทียบกับระดับ 2.23 บาทในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทริสคาดว่ารายได้ค่าโดยสารต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตรของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 2.18 – 2.21 บาทในช่วงปี 2562-2564 ส่วนความสามารถในการทำกำไรได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงต่อที่นั่ง-กิโลเมตร (กม.) อยู่ที่ 1.57 บาทเพิ่มขึ้นจาก 1.49 บาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาและรายได้ค่าโดยสารต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตรที่ลดลงแต่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนการลดค่าใช้ค่าใช้จ่าย ต้นทุนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงต่อที่นั่ง- กม. คาดว่าจะค่อย ๆ ปรับลดเป็นประมาณ 1.54 บาทต่อที่นั่ง-กม. ในระหว่างปี 2563-2564

“6 เดือนแรก แม้ว่าต้นทุนเชื้อเพลิงจะลดลง 1% แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานกลับลดลงเป็น 10.8% จาก 18.3%   คาดราคาเฉลี่ยของน้ำมันเครื่องบินจะอยู่ที่ 85 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ตามสมมติฐาน คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะฟื้นตัวอยู่ในระดับ 15-17% ในช่วงปี 2563-2564 แต่ต้นทุนเชื้อเพลิงคิดเป็นสัดส่วน 30% ของต้นทุนทั้งหมด ดังนั้น การเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาเชื้อเพลิงจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัท”ทริสระบุ

การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวช่วยสนับสนุนอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร ทริสคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 75-80% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หากรายได้ค่าโดยสารต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตรอยู่ในระดับคงที่จะส่งผลให้รายได้อยู่ระหว่าง 1.95- 2 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2563-2564

ขณะเดียวกันคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากแผนจัดหาเครื่องบินจำนวนขั้นต่ำ 25 ลำในช่วงปี 2563-2568 ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดหาโดยการใช้ภาระหนี้ ทริสคาดว่าหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.55 แสนล้านบาทในปี 2564 จาก 2.38 ล้านบาทในปี 2561 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(อิบิทดา)จะดีขึ้นอยู่ที่ระดับประมาณ 35.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 เมื่อเทียบกับระดับ 22.6 หมื่นล้านบาทในปี 2562 ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่ออิบิทดาควรจะค่อย ๆ ปรับลดลงจากระดับ 10.4 เท่าในปี 2561 เป็น 7.1 เท่าในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่สูงกว่า 90% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องปรับปรุงในด้านความเสี่ยงทางการเงิน ทริสเรทติ้งยังคงเชื่อว่าภาครัฐจะให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นหากบริษัทเผชิญสถานการณ์ความยุ่งยากทางการเงิน

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาแหล่งเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้และเพื่อใช้รองรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งประกอบด้วยเงินสดจำนวน 1.32 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 2.00 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 ทั้งนี้ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ระหว่าง 1.5 หมื่นล้านบาท บริษัทยังมีแผนจะออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 1.0 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ชำระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดและใช้ในการลงทุน เพียงพอต่อแผนการใช้จ่าย ทั้งนี้ บริษัทมีภาระที่จะต้องชำระคืนเงินกู้ที่ครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิ.ย.2562 บริษัทมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 5 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีงบลงทุนปกติ (ไม่รวมการซื้อเครื่องบิน) ประมาณ 5.5 พันล้านบาทในปี 2563 อีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต  “ลบ” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนตัวลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสายการบินและผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าประสิทธิภาพการดำเนินงานในระดับต่ำของบริษัทจะยังคงอยู่ต่อไปและเป็นประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบผลการดำเนินงานของบริษัท