โกลเบล็ก มองหุ้นครึ่งหลัง 1,650-1,880 จุด ทอง 1,450 ดอลลาร์

บล.โกลเบล็ก มองแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัว หนุนตลาดหุ้น ประเมินกรอบดัชนีครึ่งปีหลัง 1,650-1,880 จุด ส่วนทองคำขึ้นทดสอบ 1,320-1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 มีปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวดีในช่วงไตรมาสแรก ที่เติบโต 4.8% สูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส ส่งผลให้ GDP ไทยปี 61 โตมากกว่าคาดการณ์เมื่อต้นปี ประกอบกับการส่งออกและภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการประมูลโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เดินหน้าต่อ นอกจากนี้กฎหมายอีอีซี เริ่มมีผลบังคับใช้ 15 พ.ค. สร้างความชัดเจนและดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน และราคาน้ำมันทรงตัวที่ระดับสูง

ส่วนปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 มาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3-4 ครั้งในปีนี้ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนหากไม่สามารถตกลงกันได้ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกลาง ภาวะหนี้ครัวเรือนเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยยังอยู่ในระดับสูง กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ Fund flow ต่างชาติผันผวน

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทางโกลเบล็ก ประเมินกรอบกรอบดัชนีในครึ่งปีหลัง 2561 ไว้ที่ระดับ 1,650-1,880 จุด โดยแนะนำซื้อเก็งกำไรกลุ่มที่มีข่าวดี ได้แก่ หุ้นกลุ่มส่งออก แนะนำ CPF และ KCE กลุ่มถ่านหิน ได้แก่ BANPU หุ้น EEC Play ได้แก่ WHA ,AMATA ,EASTW ,ATP30 และORI รวมถึงหุ้น MAI ที่คาดผลประกอบการปี 2561 เติบโตดี ได้แก่ JUBILE, ATP30, AGE, XO, SSP และ TPCH นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงในการลงทุน คือ กลุ่มธนาคาร เนื่องจากการบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 และกลุ่มการเงินเนื่องจากมีความกังวล NPL

ด้านกลุ่มโกลเบล็ก ยังมองภาพรวมการลงทุนในทองคำปีนี้ โดยคาดว่าราคาทองคำจะค่อยๆ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นและสามารถไปทดสอบที่ราคา 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ แต่ในช่วงไตรมาส 2/2561 คาดจะการเคลื่อนไหวในกรอบ sideway ก่อนในบริเวณ 1,250-1,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีความชัดเจน หลังจากนั้นในช่วงครึ่งปีหลังคาดราคาทองจะมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,320-1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

สำหรับปัจจัยหนุนราคาทองคำจาก 6 ปัจจัยหลัก คือ 1.การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แบบค่อยเป็นค่อยไป 2.เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมากขึ้นจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน และประเทศอื่น3.ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้คาดว่าอยู่ในสภาวะฟองสบู่ จึงมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนเลือกที่จะถือทองเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน 4. ในส่วนของ Supply ทอง คาดเหมืองที่เปิดใหม่จะมีการชะลอตัวลง เพราะค่าใช้จ่ายในการสำรวจเหมืองได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 22%ในปีที่ผ่านมา ประกอบกับปริมาณทองในเหมืองอาจจะยังไม่คุ้มทุนสำหรับการเปิดเหมืองใหม่มากนัก 5.ความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องประดับของจีนและอินเดียยังคงเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับในงานเทศกาลต่างๆ 6.แนวโน้มการเข้าถือทองคำของธนาคารกลาง ก็ยังทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่เคยทำจุดต่ำสุดในปี 2550