ทริสฯ คงเครดิต BBB+ ทางยกระดับดอนเมือง

HoonSmart.com>>ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ ดอนเมืองโทลล์เวย์  จุดเด่นทางยกระดับอยู่ในทำยุทธศาสตร์  สร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ  ระดับหนี้ต่ำ บริษัทคาดจะชำระหนี้ทางการเงินทั้งหมดปี 2564  ความเสี่ยงรอคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุดแก้ไขสัญญาสัมปทาน กรณีเลวร้ายที่สุดอาจเกิดขึ้นได้  อายุสัญญาสัมปทานสิ้นสุดในปี 2564 แทนที่จะเป็นปี 2577

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง หรือ ดอนเมืองโทลล์เวย์ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “คงที่”

อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีทางยกระดับที่อยู่ในทำเลที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ดี รวมทั้งการมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและภาระหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทต้องพึ่งพิงสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดเพียงสิ่งเดียวคือทางยกระดับและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุด ซึ่งต้องรอคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุด  กรณีเลวร้ายที่สุดอาจเกิดขึ้นได้หากคำพิพากษาเป็นคุณต่อโจทก์ ซึ่งอาจส่งผลให้อายุสัญญาสัมปทานสิ้นสุดในปี 2564 แทนที่จะเป็นปี 2577

ทางยกระดับของบริษัทฯ เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมการเดินทางระหว่างใจกลางกรุงเทพฯ กับสนามบินนานาชาติดอนเมือง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางหลักที่เปิดออกสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย ปริมาณการจราจรเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยในปี 2556-2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.6% แต่ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ปริมาณจราจรลดลง 5.9%  เนื่องจากความต้องการใช้ทางที่ลดลงจากการปรับปรุงถนนบริเวณใกล้เคียงกับถนนวิภาวดีรังสิตและการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีเขียวส่วนเหนือแล้วเสร็จ

ทริสฯคาดว่าปริมาณจราจรบนทางยกระดับจะลดลงประมาณ 5-7% ต่อปีในช่วงปี 2562-2563 หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ในปี 2564 อย่างไรก็ตามคาดว่าอัตราค่าผ่านทางที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากน่าจะช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของปริมาณจราจรบนทางยกระดับได้ คาดว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงประมาณ 5% ในปี 2562 และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในปี 2563 และ 2% ในปี 2564 ตามลำดับ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 75-80%ทั้งนี้บริษัทไม่มีแผนการลงทุนที่สำคัญในอนาคต มีเพียงการตั้งงบลงทุนตามปกติสำหรับช่วง 3 ปีข้างหน้าที่จำนวน 600 ล้านบาทซึ่งจะใช้เงินทุนจากกระแสเงินสดภายในเท่านั้น

การแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัทครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2550 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2549 และวันที่ 10 เม.ย. 2550 โดยได้ชดเชยความเสียหายอันเป็นผลมาจากการกระทำของภาครัฐภายใต้รัฐบาลในอดีตให้แก่บริษัทซึ่งต่างไปจากที่ได้ตกลงไว้ในสัญญาสัมปทาน เงื่อนไขที่เป็นประเด็นสำคัญในสัญญาสัมปทานที่มีการปรับปรุง ได้แก่ การขยายอายุสัญญาสัมปทานเพิ่มจากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2564 ไปเป็นปี 2577 และการกำหนดอัตราการเพิ่มค่าผ่านทางไว้ล่วงหน้าตามการแก้ไขสัญญาในครั้งก่อน

บริษัทมีกรณีที่ถูกฟ้องร้องต่อศาลปกครองจำนวน 3 คดีซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความถูกต้องทางกฎหมายของการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุด ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายกฟ้อง 2 คดีจากทั้งสิ้น 3 คดี ส่วนคดีที่ยังอยู่ในกระบวนการทางศาลนั้น โจทก์อ้างว่ามติคณะรัฐมนตรีซึ่งมีมติเห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้นในปี 2558 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุด แต่ผู้บริหารของบริษัทยังคงมั่นใจว่าผลของคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจะออกมาในทางบวก

บริษัทมีแผนการจะชำระหนี้สินทางการเงินที่มีทั้งหมดให้ได้ภายในปี 2564 เนื่องจากความไม่แน่นอนของคำพิพากษาของศาล ณ เดือนมิ.ย. 2562 บริษัทมีหนี้คงค้างจำนวน 4,360 ล้านบาท ทริสฯคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานรวมประมาณ 5,500 ล้านบาทในระหว่างปี 2562-2564 ดังนั้น บริษัทจึงน่าจะสามารถชำระคืนหนี้สินทางการเงินทั้งหมด โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะลดลงเป็น 0% ในปี 2564 จาก 42.7% ในปี 2561

ขณะที่บริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนมิ.ย.2562 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 587 ล้านบาทและเงินลงทุนอีกจำนวน 628 ล้านบาท ทริสฯคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 1,700 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เมื่อรวมสภาพคล่องทั้งหมด จะมีเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้และการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วย หุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาทและตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 1,620 ล้านบาท บริษัทมีแผนจะออกตั๋วสัญญาใช้เงินชุดใหม่ ขยายเวลาออกไปเป็นปี 2563 ในขณะเดียวกัน บริษัทก็มีงบลงทุนอีกจำนวน 310 ล้านบาทในปี 2562 ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทจะจ่ายเงินปันผลหลังจากที่บริษัทชำระหนี้ที่มีทั้งหมดแล้ว

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนมิ.ย. 2562 อยู่ที่ 0.8 เท่าซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 2 เท่า