HoonSmart.com>> บลจ.อเบอร์ดีนฯ มองหุ้นไทยเด่นกว่าภูมิภาค แนะทยอยสะสม กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก สื่อสารและเช่าซื้อ น่าสนใจ ด้านพอร์ตลงทุนขายทำกำไรบางตัว รอจังหวะเก็บ ส่วนดอกเบี้ยไทย คาดกนง.ลด 0.25% ปลายปีนี้ สถานการณ์ฮ่องกงคลี่คลาย ดันหุ้นพุ่งแรง 3.90 % หนุนไทยขึ้นตาม 16 จุด รายย่อยสบจังหวะขายเกือบ 2,000 ล้านบาท จากเพิ่งเก็บมา 3,232 ล้านบาท วันที่ลงแรง 11 จุด
นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า กลุ่มอเบอร์ดีนฯ ยังคงมองบวกตลาดหุ้นไทยและเพิ่มน้ำหนักการลงทุน จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและค่าเงินมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจกว่าและในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่า ดัชนียังคงแกว่งตัวบวกลบประมาณ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด เนื่องจากมีปัจจัยลบต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังกดดันดัชนี
“ตั้งแต่ต้นปี SET บวกขึ้นมา 5% เมื่อเทียบภูมิภาคหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงอยู่ในอันดับต้นๆ ซึ่งดัชนีแกว่งค่อนข้างมากจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งสงครามการค้า อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ค่าเงินบาทแข็งกระทบเศรษฐกิจและกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่โดยรวมกำไรบจ.ไม่ได้แย่ลง ไตรมาส 2/62 กำไรลดจากกฎหมายแรงงานใหม่จึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่หากดูจาก Consensus ยังคาดการณ์กำไร บจ.ปีนี้เติบโต 11% และปีหน้าอยู่ที่ 10%”นายออเสน กล่าว
ส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน 15 เท่าและคาดว่าปีหน้าอยู่ที่ 14 เท่า ในขณะที่หุ้นในพอร์ตของบลจ.อเบอร์ดีนที่ลงทุนอยู่ยังมีกำไรเติบโตเลข 2 หลัก จึงมองช่วงนี้เป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้น โดยกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสื่อสารและกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อ ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มการบินและกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์
นายออเสน กล่าวว่า สำหรับพอร์ตกองทุนของบลจ.อเบอร์ดีน ในช่วงที่ผ่านมาขายทำกำไรบางส่วนในหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามาก เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มนันแบงก์ ขณะเดียวกันซื้อเพิ่มในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและและรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มหากราคาย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเหมาะสม
“หุ้นแบงก์ใหญ่ราคาปรับตัวลงมาในรอบปีรับกำไรไตรมาส 2/62 ลด ประกอบกับภาพเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน การปล่อยกู้ยากและการลดดอกเบี้ยก็กระทบส่วนต่างมาร์จิ้น ซึ่งอเบอร์ดีนชอบแบงก์ขนาดเล็ก ซึ่งมีการกระจายธุรกิจเช่าซื้อซึ่งในพอร์ตมีหุ้นบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ส่วนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขึ้นมามาก ซึ่งการลงทุนจะดูแต่ P/E ก็ยาก ต้องดูกระแสเงินสดในอนาคตคาดการณ์กำไร 5 ปีข้างหน้า เพราะกลุ่มโรงไฟฟ้าการเติบโตมาจากการเพิ่มกำลังผลิตตามแผนเปิดโรงใหม่หรือซื้อกิจการเพิ่ม ซึ่งเงินบาทแข็งค่าก็เป็นโอกาสซื้อโรงไฟฟ้าต่างประเทศ โดยกองทุนอเบอร์ดีนก็ได้ลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้า คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO)”นายออเสน กล่าว
นายพงศ์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าการลงทุนตราสารหนี้ประเทศไทย บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนข้างหน้าคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง จาก 2.25% ลงมาอีก 0.50% หรือครั้งละ 0.25% จากที่ตลาดคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้ง ซึ่งอเบอร์ดีนฯ มองต่างจากตลาดเนื่องจากคาดว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลดความ aggressive ลงเพื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งสหรัฐในปีหน้า ภาพเศรษฐกิจจึงไม่น่าจะแย่มากจนเศรษฐกิจถดถอย
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 4 ก.ย. ระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดกว่า 22 จุด ก่อนปิดที่ระดับ 16.39 จุด หรือ 1% ดัชนีปิดที่ 1,658.64 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายรวม 64,849ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อยขาย 1,998 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนอีก 3 กลุ่มซื้อสุทธิ ต่างชาติซื้อ 880 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อ 736 ล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อ 382 ล้านบาท
มาร์เก็ตติงกล่าวว่า ในช่วงนี้ ตลาดหุ้นผันผวนมาก เป็นโอกาสในการทำกำไร โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย เช่น วันที่ 3 ก.ย. ดัชนีรูดลง 11 จุด ซื้อสุทธิ 3,232 ล้านบาทวันที่ 4 ก.ย. ดัชนีปรับตัวขึ้นมา 16 จุด มีการทำกำไรเกือบ 2,000 ล้านบาท เพราะปัจจัยที่ทำให้ตลาดขึ้นหรือลงแรงมาจากต่างประเทศ วันนี้ขึ้นแรงถือว่าผิดจากความคาดการณ์ ความกังวลเรื่องสงครามการค้ายังมีอยู่ แต่เมื่อมีข่าวเรื่องสถานการณ์การประท้วงในฮ่องกงคลี่คลาย ก็มีแรงเก็งกำไรเข้ามา รวมถึงความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครม.เศรษฐกิจจะพิจารณาในวันที่ 6 ก.ย.นี้ คาดว่าดัชนีจะยังคงผันผวนต่อไป จากความแน่นอนของปัจจัยต่างประเทศ