“หยวนต้า” เชียร์ซื้อ “EA” ถูกกว่าคู่แข่ง ROA-ROE สูงลิ่ว

HoonSmart.com>>โอ้โห ! หุ้นไฟฟ้ายังฮอตไม่เลิก 5 หุ้นเทรดสนั่น 12,372 ล้านบาท  20% ของทั้งตลาด  GULF  กวาดไป 5,587 ล้านบาท เก็งกำไรหลายรอบ GPSC 3,726 ล้านบาท บล.หยวนต้าฯ ยก EA น่าสนใจในเชิงมูลค่า  เผยหุ้นตัวอื่นในกลุ่มค่อนข้างแพง “ออมสิน” เผยไทยแลนด์ โฟกัสปีนี้ พลังงานบริสุทธิ์พบ 18 สถาบันต่างชาติ 5-6 เจ้าเป็นรายใหม่ สถิติที่ผ่านมาคุยแล้วต้องใช้เวลาตัดสินใจเป็นเดือน ไม่เกิน 2-3 เดือนถึงจะเข้ามาลงทุน

สำนักข่าว www.HoonSmart.com ใช้ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทที่ทำธุรกิจไฟฟ้าขนาดใหญ่ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2562 พบว่า บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีอัตราผลตอบแทนต่อทรัพย์สิน (ROA) สูงที่สุด 10.61% และยังมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงสุดเช่นเดียวกัน 26.04% ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 38.43% เป็นรองเพียง บริษัท บีซีพีจี (BCPG) ทำได้ 49.83%

“ROA และ ROE สูง เป็นสิ่งที่ดี สะท้อนถึงความสามารถในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินและส่วนของผู้ถือหุ้นมาสร้างกำไร”

นอกจากนี้ EA ยังมีสัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) 38.12 เท่า ต่ำกว่าบริษัทไฟฟ้าหลายแห่ง แต่การคำนวณ P/E ใช้ตัวเลขกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนผลงานในอดีต แต่ไม่สามารถบ่งบอกอนาคตได้ทั้งหมด

นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำซื้อ EA มีความน่าสนใจเชิงการประเมินมูลค่าหรือ Valuation ขณะที่กำไรมีแนวโน้มทำนิวไฮได้ต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า ที่ผ่านมาหุ้นถูกยืมมาขายล่วงหน้า (ชอร์ต) รวม 5 วันทำการ เป็นอันดับ 4 รวม 899 ล้านบาท คิดเป็น 16.7% ของมูลค่าการซื้อขายในกระดาน คาดว่าหากราคาปรับตัวผ่าน 49 บาทได้จะมีแรงหนุนของ Short Covering นอกจากนี้ เชื่อว่าจะเกิดการหมุนกลับเข้ามาลงทุนใน EA เนื่องจากหุ้นตัวอื่นในกลุ่มเข้าข่ายแพง ปัจจุบัน GULF มี P/E ปี 2563 อยู่ที่ 70 เท่า BGRIM อยู่ที่ 37 เท่า และ EA อยู่ที่เพียง 26 เท่า เท่านั้น จะอยู่ตรงนี้ได้ยังไงไหว

นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า P/E เป็นหนึ่งในเครื่องมือประเมินราคาหุ้นว่าถูกหรือแพง แต่จะต้องนำข้อมูลปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันและอนาคตมาประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย เช่น EA มีกำไรนิวไฮอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก โรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการหนุมาน กำลังผลิต 260 เมกะวัตต์ ขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ที่สำคัญคือขายไฟได้แอดเดอร์ 6.90 บาท และต้นทุนในการพัฒนาต่อเมกะวัตต์ลดลง คิดเป็นประมาณ 77 ล้านบาท เทียบกับโครงการหาดกังหันใช้เงินลงทุน 80 ล้านบาท/เมกะวัตต์  ดังนั้นหากราคายังอยู่บริเวณนี้ P/E ในอนาคตจะลดลงกว่าปัจจุบัน

นางออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ กล่าวถึงการเข้าร่วมงานไทยแลนด์ โฟกัส 2519 เมื่อปลายสัปดาห์เดือนส.ค.ที่ผ่านมา ว่า EA ได้ให้ข้อมูลแก่สถาบันต่างประเทศจำนวน 18 ราย  แต่มีกองทุน 5-6 แห่งที่เป็นรายใหม่ จากสถิติการให้ข้อมูลที่ผ่านมา  ที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน แต่ไม่เกิน 2-3 เดือนในการตัดสินใจก่อนจะเข้ามาลงทุน บางรายมาขอข้อมูลเพิ่มเติมจากซีอีโอ ราคาหุ้น EA ใส่เรื่องอนาคตหรือฟิวเจอร์สเข้ามามาก ทำให้ตัดสินใจยาก

“รอบนี้ สถาบันต่างชาติให้ความสนใจเรื่องแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า ถามว่าบริษัทใช้กลยุทธ์อะไร บริษัทมองเห็นการเติบโตอย่างไร อะไรเป็นจุดแข็ง เราจะสู้คู่แข่งได้ไหม เราเชื่อในเทคโนโลยี ที่ไต้หวันพัฒนามาแล้ว ขายในไต้หวันและส่งไปต่างประเทศ เราเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาเพิ่มเติม ทำให้ประจุไฟเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการผลิตลดลง เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับแบตเตอรี่ของเกาหลีและญี่ปุ่นได้ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย”  นางออมสินกล่าว

ด้านการซื้อขายหุ้นไฟฟ้า วันที่ 3 ก.ย.2562 มีหุ้น 5 บริษัทติดท็อป 20 รวมมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น  12,372 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20% ของทั้งตลาด  61,745.95 ล้านบาท โดยเฉพาะ GULF กวาดไปกว่า 5,587 ล้านบาท ตามด้วย GPSC 3,726 ล้านบาท

นักลงทุนยังคงเข้าเก็งกำไรในหุ้น GULF  วันนี้มีการซื้อและทำกำไรหลายรอบ เห็นได้จากราคาหุ้นเหวี่ยงขึ้นและลงแรง จากติดลบตีขึ้นไปสูงสุด 163.50 บาท ก่อนทุบลงไปต่ำสุด 154 บาท สุดท้ายปิดที่ 157 บาทลดลง 1.50 บาท ส่วนบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มีมูลค่าการซื้อขายสูง เนื่องจากเป็นวันที่ขึ้น XR ไม่มีสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน สัดส่วน 1 ต่อ 0.8819 บาท ราคา 56 บาท เมื่อเปิดการซื้อขายด้วยราคาต่ำแถว 68 บาทมีแรงไล่ซื้อ จนผลักดันให้ปิดสูงสุดที่ 72 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 1.375%

ส่วน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM ) วิ่งมาหลายวัน ยังไปได้ต่อ ขึ้นไปสูงสุดถึง 44 บาท ปิดที่ 42 บาท บวก 1.25 บาทหรือ 3.07% มูลค่า 1,274 ล้านบาท รับข่าวดีโรงไฟฟ้าที่เวียดนามขนาดใหญ่ 2โครงการเปิด COD ตามแผน ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตสูงตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป สำหรับหุ้น EA ไปไหนไม่ได้ ราคาปิดต่ำสุด 47.75 บาท ลดลง 0.25 บาทหรือ 0.52% มูลค่า 815 ล้านบาท