HoonSmart.com>>กลุ่มปตท.ทยอยเปิดกำไรไตรมาส 2/2562 GPSC ดีเกินคาด ได้ GLOW หนุน ส่วน PTTEP ผู้บริหารยันกลยุทธ์ซื้อกิจการ หนุนไตรมาส 3 และปีต่อไปเติบโต สำหรับ PTTGC นักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไร 2 ปีซ้อน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ กดราคาลงเหลือ 67 บาท บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ให้แค่ 69 บาท IRPC แย่มาก ราคาใกล้หลุด 4 บาท ลุ้น TOP ได้ดีจากโรงกลั่น
นักลงทุนจับตาบริษัทปตท. (PTT) และบริษัทไทยออยล์ (TOP) เปิดกำไรไตรมาส 2 คาดโรงกลั่นเติบโต ส่วนบริษัทในเครือ 4 บริษัท นำโดย บริษัทปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือปตท.สผ. (PTTEP) เปิดกำไรสุทธิ 13,684 ล้านบาท และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ดีเกินคาด รับรู้รายได้และกำไรจากการซื้อกิจการ บริษัท โกลว์ พลังงาน (GLOW) ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทั้ง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) มีกำไรสุทธิ 10,827 ล้านบาท และบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) มีกำไรสุทธิเพียง 500 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ซื้อ” PTTGC แต่ลดราคาเป้าหมายจาก 74 บาทเหลือ 67 บาท และปรับประมาณการผลประกอบการปี 2562-2563 ลง 24.4-28.5% เป็น 19,363 และ 24,078 ล้านบาท หลังจากกำไรไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาดและแนวโน้มผลประกอบการปกติไตรมาส 3 อ่อนตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2 สะท้อนแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีที่ถูกกดดันทั้งจากอุปสงค์ชะลอตัวและการเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่
ทางด้านราคาหุ้นลงมาอยู่ที่ P/BV 0.8 เท่า จึงคงคำแนะนำซื้อ เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจรอสัญญาณประเด็นสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคลี่คลายก่อน เพื่อใช้เป็นจังหวะในการเข้าลงทุน
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปรับคำแนะนำ PTTGC เป็น”ถือลงทุน” ลดราคาเป้าหมายลง จาก 98 บาทเหลือ 69 บาท หลังปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-2563 เหลือ 20,714-25,992 ล้านบาท จากเดิม 36,070-38,727ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ และผิดหวังกำไรไตรมาส 2 ทำได้เพียง 2,202 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด หากไม่รวมขาดทุนสต็อก 1,402 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น 784 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน 4,388 ล้านบาทลดลง 47% จากระยะเดียวกันปีก่อนและ13%จากไตรมาส 1
“ธุรกิจโรงกลั่นดีขึ้น แต่ธุรกิจอะโรเมติกส์อ่อนตัวลง ธุรกิจโอเลฟินส์กำไรลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม เพิ่มขึ้น 9%จากไตรมาส 1 เป็น 1,282 ล้านบาท สาเหตุหลักจากธุรกิจโพลีโพรพิลีนปรับตัวดีขึ้น” บล.แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ ระบุ
สำหรับ PTTEP นางชนมาศ ศาสนนันทน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน ปตท.สผ. กล่าวว่า กำไรในไตรมาส 2/2562 ทำได้ค่อนข้างดี จำนวน 433 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 394 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แนวโน้มยังคงเติบโต คาดไตรมาส 3 มีปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มเป็น 356,000 บาร์เรลต่อวัน จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 334,627 บาร์เรลต่อวัน เป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการของ Murphy ในประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น ประมาณ 48,000 บาร์เรล และเพิ่มเป็น 60,000-70,000 บาร์เรลในปี 2565 ทั้งนี้ เป็นแหล่งที่มีปริมาณสำรองใหญ่เป็นอันดับสามของมาเลเซีย รองจาก เชลล์ และปิโตรนัส
“คาดว่าปริมาณการขายเฉลี่ยทั้งปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณ 345,000 บาร์เรล และจะสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยได้ที่ประมาณ 32 ดอลลาร์ ผลจากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการซื้อกิจการและการสำรวจหลายโครงการ ทั้งแหล่งใหญ่ในโอมาน เพิ่มการถือหุ้นโครงการสินภูฮ่อม และจะเริ่มบุกงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงธุรกิจใหม่ ส่งผลให้แนวโน้มการดำเนินงานเติบโตขึ้นในปีหน้าและปีต่อๆไป” นางชนมาศ กล่าว
ส่วนโครงการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (เมียนมา) 3 โครงการ ที่ผ่านมา ยังไม่ได้นำแก๊สขึ้นมาใช้ อยากขาย แต่โรงไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ กำลังเร่งเจรจากับรัฐบาลเมียนมา ที่จะให้บริษัทลูกในกลุ่ม ปตท. คือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เข้าไปตั้งโรงไฟฟ้า คาดว่าสิ้นปีนี้จะมาคุยกับนักลงทุนได้
นางชนมาศ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวแถว 60-70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ช่วงนี้มีข่าวเรื่องสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกอ่อนตัวลง ทำให้ราคาน้ำมันลงมาต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ ปตท.สผ.ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากพอร์ตเป็นแก๊ส 70% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี แล้วแต่โครงการ ในการปรับสูตรราคาบนราคาน้ำมัน ราคายืนอยู่ได้ 6.9 ดอลลาร์ ไม่เกิดผลกระทบทันที
“กลยุทธ์การลงทุน เรากลับมาดูแลโครงการแถวบ้านเรา เมียนมา มาเลเซีย เมืองไทย ส่วนตะวันออกกลาง มีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก ต้นทุนการผลิตต่ำ วันนี้เน้นที่โอมาน และ UAE ตอนนี้เรามีงานเต็มมือ จะต้องโฟกัสที่สิ่งที่เราซื้อมา สร้างรายได้อย่างที่คาดการณ์และหาโอกาสอะไรเพิ่มเติม การซื้อกิจการมาช่วยระหว่างสำรองไม่มาก คาดว่าในปีหน้าจะเร่งขุดหลุม ใช้เงินไม่มาก หากพบเจอ ก็คุ้มค่า ได้เป็น10 เท่า ดีกว่าการซื้อกิจการ นอกจากนี้ยังลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อนำมาช่วยลดต้นทุน เอาเทคโนโลยมาช่วยในการสำรวจ หรือซ่อมท่อ” นางชนมาศ กล่าว
การซื้อขายหุ้นกลุ่มปตท. วันที่ 8 ส.ค. ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง จากราคาน้ำมันดิบรูดลงแรงเกือบ 5% ทำให้ราคาหุ้นที่มีกำไรไม่ดี เช่น IRPC ปิดที่ 4.16 บาท รูดลง 1.42% PTTGC ปิดที่ 53.50 บาท ลดลง 3.175 ยกเว้น GPSC พุ่งแรง 5.54% หรือ 3.75 บาท ปิดที่ 71.50 บาท