HoonSmart.com>> กองทรัสต์ AIMIRT เคาะราคาขายสุดท้ายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนราคาสูงสุด 11.50 บาทต่อหน่วย หลังผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมใช้สิทธิ์เพิ่มทุนคึกคักและประชาชนทั่วไปสนใจ เตรียมเข้าลงทุนในทรัพย์สินใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมไม่เกิน 4,200 ล้านบาท ดันขนาดกองทรัสต์เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว ประมาณการอัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปีแรกอยู่ที่ประมาณ 0.8640 บาทต่อหน่วย คาดหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 15 ส.ค.นี้
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นของหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 ที่ 11.20 – 11.50 บาทต่อหน่วย และดำเนินการสำรวจความต้องการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดได้กำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายของหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนในครั้งนี้ ที่ 11.50 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ การเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 ของ AIMIRT จำนวนทั้งสิ้น 271,250,000 หน่วยนั้น ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุนทุกกลุ่ม หลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ (Preferential Offering) วันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ใช้สิทธิ์จองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนที่จัดสรรไว้เมื่อวันที่ 30 ก.ค.– 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ในสัดส่วน 50% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมดที่ออกในการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 หรือคิดเป็น 135,625,000 หน่วย และเปิดให้ประชาชนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งรวมถึงผู้ลงทุนสถาบันจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนวันที่ 30 ก.ค.– 2 ส.ค.และวันที่ 5 – 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ในสัดส่วน 50% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมดที่ออกในการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 หรือคิดเป็น 135,625,000 หน่วย
ขณะที่ประชาชนทั่วไปเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมประเภทนักลงทุนสถาบันที่ได้นำส่งใบ Bookbuilding ประชาชนทั่วไปประเภทนักลงทุนสถาบัน และประชาชนทั่วไปประเภทบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ที่เป็นบริษัทเจ้าของทรัพย์สิน และ/หรือ กลุ่มบุคคลเดียวกันของบริษัทเจ้าของทรัพย์สิน สามารถจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 ในวันที่ 6 – 7 ส.ค.นี้ ที่ราคาเสนอขายสุดท้ายที่ 11.50 บาทต่อหน่วย
นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ AIMIRT กล่าวว่า หลังจากเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 กองทรัสต์ AIMIRT จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าทรัพย์สินใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมไม่เกิน 4,200 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวนรวมไม่เกิน 1,300 ล้านบาท ส่งผลให้กองทรัสต์มีมูลค่าทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6,400 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากเข้าลงทุนครั้งแรกที่ 2,140 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและเป็นการกระจายการลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลายเพื่อลดการกระจุกตัวของรายได้ โดยบริษัทฯ คาดว่าจะนำหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 15 สิงหาคมนี้
สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ AIMIRT เข้าลงทุนเพิ่มเติมในครั้งที่ 1 ประกอบด้วย 1. ห้องเย็นโครงการเจดับเบิ้ลยูดี แปซิฟิค (ส่วนขยายเพิ่มเติม) บนถนนสุวินทวงศ์ ของกลุ่มบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 2,708 ตารางเมตร 2. คลังสินค้าโครงการ TIP 8 บริเวณบางนา-ตราด ของบริษัท ทิพย์โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 4 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 34,693 ตารางเมตร 3. ถังเก็บสารเคมีเหลว 61 ถัง ปริมาตรความจุถังรวมประมาณ 85,380 กิโลลิตร และคลังสินค้าจำนวน 3 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 16,726 ตารางเมตร ในโครงการ SCC จังหวัดสมุทรปราการ ของบริษัท สยามเฆมี จำกัด (มหาชน) และ 4. คลังสินค้าโครงการสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ของบริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด จำนวน 1 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 14,600 ตารางเมตร ซึ่งล้วนตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของผู้เช่า
ทั้งนี้ ภายหลังจากกองทรัสต์ AIMIRT ได้เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 คาดว่าประมาณการอัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนต่อหน่วยในปีแรกอยู่ที่ประมาณ 0.8640 บาทต่อหน่วย (ประมาณการอัตราการปันส่วนกำไรสำหรับงวด 12 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2563 กรณีที่กองทรัสต์เข้าลงทุนในทรัพย์สินที่กองทรัสต์จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ทั้ง 4 โครงการ ไม่เกิน 4,200 ล้านบาท โดยการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน 271,250,000 หน่วย ภายใต้สมมติฐานว่า กองทรัสต์ประมาณอัตราการจ่ายประโยชน์ผลตอบแทนร้อยละ 100 และออกหน่วยเพิ่มเติม 271,250,000 หน่วย ที่ราคา 11.50 บาทต่อหน่วย)