” ทริพเพิล ไอ” เดินตามแผน 3 ปี เพิ่มมาร์เก็ตแคป-ดึงสถาบันลงทุน

HoonSmart.com>>III  ปักธงโตในภูมิภาค ลุยซื้อกิจการ-จับมือพันธมิตรร่วมธุรกิจดันโต  เดินตามแผน 3 ปี เพิ่มมาร์เก็ตแคปปีละ 20 % หรือแตะ 7,000 ล้านบาท ดึงสถาบันเข้าลงทุน  “ทิพย์” ซีอีโอ ปลื้มไตรมาส 2 กำไรโตนิวไฮ 31.5%

นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) เปิดเผยว่า แผนเติบโต 3 ปี ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ปีละ 20 % หรือแตะ 7,000 ล้านบาท และผลดำเนินงานเติบโตปีละ 20 % เช่นกัน ซึ่งปัจจัยการเติบโต มาจากการซื้อกิจการ การจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องโลจีสติกส์ เชื่อมโยงธุรกิจระหว่างประเทศเป็นหลัก โดยบริษัทใช้กลยุทธ์สร้างการเติบโตก้าวกระโดดและมีความยั่งยืน ผสานกับธุรกิจเดิมของ  จากการซื้อกิจการ – ร่วมทุน ตอบโจทย์บริษัทที่ต้องการโตและมีกำไร   ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการอีก 2-3 ดีล

ทิพย์ ดาลาล

“การลงทุนในกิจการที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ดีจี แพ็คเกจจิ้ง (DG Packaging) สัดส่วน 50 % หรือ อะราวน์ โลจิสติกส์ (Agound Logistics) เข้ามาช่วยการเติบโตและต่อยอดธุรกิจ  เป็นดีลที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะมีกำไร รับรู้รายได้ทันที ทำให้โตกว่าเป้าที่วางไว้”

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2562 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ กำไรสุทธิ 50.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.084 บาท เพิ่มขึ้น 12.07 ล้านบาท หรือ 31.47% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่กำไร 38.35 ล้านบาท

ส่วนงวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 93.31 ล้านบาท เติบโต 29 ล้านบาท หรือ 45% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไร 64 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร III มั่นใจว่า ผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2562 เติบโตกว่าครึ่งปีแรก แม้ว่าสงครามการค้าทำให้ความต้องการใช้สินค้าลดลง และเงินบาทแข็งค่า แต่มั่นใจการลงทุนในบริษัทย่อยที่ให้ผลตอบแทนทันที ประกอบกับครึ่งปีหลัง เป็นไฮซีซั่นการขนส่งสินค้า

“ผลกระทบจากสงครามการค้าจีนและสหรัฐ รวมทั้งการประท้วงที่ฮ่องกง เป็นผลกระทบช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบการอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ทริพเพิล ไอ ยังโตจากธุรกิจหลัก และการลงทุนใหม่ๆ ในบริษัทย่อย จะเห็นว่า 6 เดือนที่ผ่านมา กำไรสุทธิเติบโต และเชื่อว่าทั้งปี รายได้โตไม่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 20% จากปีก่อน 2.8 พันล้านบาท”

นายทิพย์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ไม่หยุดการเติบโต ทั้งจากการซื้อกิจการหรือการร่วมทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2-3 บริษัท โดยใช้แหล่งเงินทุนบริษัทและสินเชื่อสถาบันการเงิน เนื่องจากมีความสามารถในการกู้ จากปัจจุบัน มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.6 เท่า อีกทั้งไม่มีความต้องการเพิ่มทุน หรือขายหุ้นกู้