ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดกนง.คงดอกเบี้ยประชุม 7 ส.ค.

HoonSmart.com>> ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดกนง.ยังให้น้ำหนักกับปัจจัยความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพในระบบการเงิน ระหว่างรอประเมินปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยหนุนต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า มองประชุม 7 ส.ค.นี้ คงดอกเบี้ย 1.75%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยน่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ในการประชุมครั้งที่ 5 ของปี 2562 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โดยมองว่า กนง. ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพในระบบการเงิน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่แม้จะมีแรงส่งชะลอลง แต่ยังคาดหวังผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่จะประคองภาพรวมเศรษฐกิจไทยให้ปรับดีขึ้นจากครึ่งแรกของปี

สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าคงมีน้ำหนักมากขึ้นในการตัดสินใจนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา แรงฉุดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปรากฏชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคต่างประเทศอันเป็นผลจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการเก็บภาษีสินค้าจีนอัตราร้อยละ 10 กับสินค้ากลุ่มที่เหลืออยู่ 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งจะมีผลวันที่ 1 กันยายน 2562 นอกจากนี้ ประเด็น Brexit อาจจะมีผลต่อความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุน

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงิน คงรอติดตามผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้ภาพรวมของตลาดการเงินที่ผ่อนคลายซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลาง-ยาวปรับลดลง 0.3-0.9% จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตลอดจน แรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ลดลง อันเป็นผลจากมาตรการดูแลค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยและการส่งสัญญาณของเฟดต่อการปรับนโยบายการเงินของเฟดในการประชุมรอบกรกฎาคม 2562 ว่าเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยกลางวัฎจักร มิใช่การส่งสัญญาณถึงวัฎจักรอัตราดอกเบี้ยขาลงอาจจะช่วงลดแรงกดดันต่อปัจจัยการแข็งค่าของเงินบาท น่าจะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

“จากภาพของเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง.คงจะประเมินทิศทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยหนุนดังที่กล่าวมาขั้นต้นอย่างรอบคอบโดยหากทิศทางของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มชะลอลงจากครึ่งแรก คงจะเปิดโอกาสให้ กนง. มีการทบทวนความเหมาะสมของการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป”ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ

ในขณะที่ประเด็นเสถียรภาพระยะยาว ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่คณะกรรมการนโยบายการเงินให้น้ำหนักในช่วงนี้ ทั้งนี้คณะกรรมการนโยบายการเงินคงจะเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้นในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินภายใต้ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงเชิงเสถียรภาพการเงินจากการเร่งตัวขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่อาจเป็นปัจจัยกดดันศักยภาพของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศใช้มาตรการดูแลความเสี่ยงเฉพาะทาง (Macro และ Micro prudential) อาทิ การกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) ตลอดจน มาตรฐานดูแลคุณภาพสินเชื่อ อาทิ การจำกัดอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ในสิ้นปีนี้ ต้องอาศัยระยะเวลากว่าจะ สามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ในการปรับลดปัจจัยเสี่ยงเชิงเสถียรภาพ